ผลประกอบการ CPALL กำไร 2,599 ล้านบาท -54%
ต่ำกว่า Q2 ปีที่แล้ว ที่ทำได้ 2,887 ล้านบาท
ทีแรกเห็น MAKRO กำไร +3% นึกว่าจะพอช่วยได้บ้าง แต่สุดท้ายก็ไม่ไหว เพราะว่า 7-11 ผลงานไม่ดี
.
เรามาลองดูตัวเลขที่น่าสนใจของ 7-11 กันทีละข้อนะครับว่ามีอะไรบ้าง
1. การเปิดสาขาใหม่น้อยลง
>> Q1 ปีนี้เปิดไป 155 สาขา เป็นการเปิดสาขาโดยบริษัทเอง 131 สาขา น่าจะแปลได้ว่า แฟรนไชส์อาจจะไม่กล้าเปิด ไม่มีเงินทุน หรืออาจจะไม่อยากเสี่ยงเปิดตอนนี้
>> ใน 155 สาขา เป็นการเปิดในปั๊ม 19 สาขา ก็ถือว่าน้อย และถ้าเราไปดูงบของ OR ก็จะมีบอกว่ายอดขายในร้านสะดวกซื้อลดลง ซึ่งก็อาจจะมาจากเรื่องของการเดินทางที่ลดลง
>> และโดยปกติแล้ว 7-11 เปิดสาขาปีละ 720 สาขา เปิดมากที่สุดใน Q1 = 270 สาขา นั่นแปลว่า ปีนี้เปิดน้อยมาก อาจจะไปเร่งเปิดช่วงปลายปีเหมือนปีที่แล้วก็เป็นได้ แต่ว่า SG&A อาจจะบวมได้
2. ยอดขายร้านเดิมลดลง
SSSG ติดลบมา 6 ไตรมาสติด รอบนี้ -17.1% ถือว่าไม่ดี เพราะ Q1 ปีที่แล้ว SSSG -4% แปลว่า โตลดลงจากฐานที่ต่ำ และเกือบเท่ากับ Q2 ปีก่อนที่ -20% ซึ่งสาเหตุหลักมาจากจำนวนคนที่เข้าลดลงในข้อต่อไป
3. จำนวนคนที่เข้าร้านลดลง
>> Q1 โดยเฉลี่ยมีคนเข้าร้าน 7-11 ใน 1 วัน อยู่ที่ 845 คน ต่อสาขา จากปกติ คนเข้าร้านเฉลี่ยวันละเกือบ 1200 คน และเรียกได้ว่าใกล้เคียงมากกับ Q2 ปีที่แล้วที่คนเข้าร้าน 841 คน
>> ข้อสันนิษฐานก็คือว่า เพราะ COVID เพราะ Work from Home นักท่องเที่ยวลดลง แรงงานต่างด้าวลดลง งดแจกถุง รวมไปถึงมาตรการภาครัฐ คนละครึ่ง เราชนะ ต่างๆ ทำให้คนเข้าน้อยลง
4. ยอดขายต่อบิลเพิ่มขึ้น
>> ไม่ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องร้ายๆ เรื่องดีก็มีอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าคนจะเข้า 7-11 น้อยลง แต่ก็ซื้อของต่อบิลมากขึ้นอยู่ที่ 77 บาท จากปกติ 70 บาท (ปีที่แล้ว 75 บาท) มีข้อสันนิษฐานว่า ไปไม่บ่อย แต่ซื้อทีซื้อเยอะเลย หรือบางคนสั่ง Delivery ก็จะสั่งเยอะหน่อย ทำให้ดึงยอดซื้อต่อบิลขึ้นมาได้
>> บางคนตั้งข้อสังเกตว่า ยอดซื้อต่อบิลควรมากกว่านี้หรือเปล่า เพราะบางทีสั่ง Delivery เกิน 100 บาท แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่า มีหลายคนซอยบิลเอาส่วนลด เอาจำนวนครั้งให้เยอะ หรือที่ร้านเอง ยอดซื้อตอนเช้า ตอนบ่าย ต่อบิลไม่เยอะแค่ของกิน น้ำ นม แต่ยอดตอนดึกสูงกว่า หรือรวมไปถึงไม่แจกถุง คนเลนซื้อเท่าที่ถือไหว ถ้าแจกก็ต้องซื้อ 150 บาท ถึงได้ถุง (ถ้าจำไม่ผิดนะครับ)
5. กำไร LOTUS ยังไม่คุ้ม เงินที่จ่ายไป **
>> ในงบการเงินมีตัวเลขที่เขียนว่า ส่วนแบ่งกำไรของบริษัทร่วมตามวิธีส่วนได้เสีย 35.7 ล้านบาท ซึ่งน่าจะเป็นส่วนแบ่งที่ได้มาจากการถือหุ้น Lotus 40% ซึ่งน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับกำไรหลักพันล้านบาทของ CPALL
>> นอกจากนี้ถ้าไปดูบรรทัด ต้นทุนการเงินจะเห็นว่า รอบนี้ = 2,900 ล้านบาท เทียบกับ Q1’20 ที่มี 1,880 ล้านบาท ถ้าคิดคร่าวๆ ต้นทุนการเงินเพิ่มมาประมาณ 1000 ล้านบาท แต่ได้กำไรเพิ่มมามี่กี่สิบล้านบาท
>> ไม่แน่ใจว่า Lotus ยอดขาย กำไร แย่แค่ไหน แต่ถ้าไปดูงบ Big C จะพบว่า รายได้ -18% กำไร -41.6% ก็พอจะเดาได้ว่า Lotus คงหนักไม่ต่างกัน
6. P/E 36 เท่า = Average P/E Band
ราคาวันนี้ยังไม่ได้รวมกำไรที่ลดลง P/E ได้ 36 เท่า พรุ่งนี้เปิดตลาดต้องดูว่า ราคาจะไปอยู่ที่ตรงไหน แต่จากข้อสังเกตในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา CPALL ลงไปถึงประมาณ -2SD จะทนได้ไม่นาน จะเด้งกลับมาทุกครั้ง เป็นแบบนี้ 4 รอบ แล้ว คร่าวๆ ก็แถวๆ P/E 25 เท่า
เพื่อนๆ คนไหนสนใจ CPALL ลองพิจารณากันดูนะครับว่าจะซื้อ ถือ ขาย กันอย่างไร จะเก็งกำไร จะลงทุนระยะกลาง ระยะยาว ราคาไหนน่าสนใจ แนวโน้ม Q2 จะหนักกว่านี้มั้ย หรือเราควรมองข้ามไปหลังฉีดวัคซีนเลย วางแผนกันดูครับ
... อย่าลืมว่าการลงทุนมีความเสี่ยง โปรดศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนลงทุนทุกครั้งครับ วิตามินหุ้นเพียงให้ข้อมูลประกอบการลงทุนเท่านั้น