1. Value Investment

• การลงทุนระยะยาวเฉพาะเหรียญ

การลงทุนระยะยาว คือ การถือเหรียญ (Holding)ชนิดใดชนิดหนึ่งเป็นเวลานานพอซึ่งถ้าเรามองย้อนกลับไปในอดีตมีเหรียญมากมายที่ให้ผลตอบแทนในระยะยาวที่ค่อนข้างดีเช่น Bitcoin โดยถ้าเราสังเกตกราฟในระยะยาวของ Bitcoinในช่วง Time Frame ปีจะพบว่า ถ้าไม่ได้ซื้อ Bitcoin ที่ราคา High ของปีนั้น ๆ จนเกินไปเรามักจะได้กำไรกลับมาเสมอ

 

เป็นเรื่องธรรมดามากที่นักลงทุนมือใหม่สักคนจะไม่สามารถทนรับกับผลขาดทุนเกิน 30% ในช่วงสั้น ๆ ได้ และจะทำการ Cut loss เนื่องจากเขาไม่เข้าใจว่าลงทุนกับอะไรหรือนักลงทุนที่กระโดดเข้ามาในตลาดช่วงที่อยู่ในภาวะขาขึ้น 

 

ถ้าโชคดีพอ เขาจะได้กำไรไป แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะกลับมาถือมันและติดดอยอีกครั้งด้วยเหตุผลเดียวกับที่เขาลงทุน 

 

• การลงทุนในดัชนี

การลงทุนในดัชนีหรือเรียกอีกอย่างว่า การซื้อแบบ Indexซึ่งจะเป็นการซื้อในลักษณะหลาย ๆ เหรียญเฉลี่ยกันไปนอกจากนี้บางที่ยังมีบริการซื้อตามประเภทของเทคโนโลยีนั้น เช่น  Privacycoin Platform หรือแม้แต่ DeFi

 

อย่างไรก็ตาม การซื้อ Index แต่ละผู้ให้บริการก็มีเงื่อนไขที่แตกต่างกันไปนักลงทุนควรศึกษาให้ดีก่อนการลงทุนโดยแพลตฟอร์มที่มีให้บริการ ก็เช่น  FTX Bitwise Bit20

 

2. Trading

• การเทรดทั่วไปหรือแบบ Spot

การซื้อขายแบบ Spot เป็นการซื้อขายขั้นพื้นฐานที่สุดในการลงทุนหรือคือการซื้อขาย โดยทำการซื้อสินทรัพย์ดิจิทัลที่ราคานั้นๆ ในเวลานั้นๆ และทำการขายที่ราคาตลาดเมื่อต้องการเป็นวิธีที่เหมาะสำหรับนักลงทุนทุกประเภทตลาดแบบ Spot นั้นมีรองรับทั้งในไทยเองและตลาดต่างประเทศ 

 

• การเทรด Margin Leverage

ในตลาด Digital Asset นั้นก็มีระบบซื้อขายในลักษณะของ Margin Leverageที่เป็นการยืมสินทรัพย์ในปริมาณที่มากจากระบบเพื่อทำการซื้อขาย

 

โดยผู้ใช้งานสามารถซื้อขายสินทรัพย์ที่มากกว่าการซื้อขายแบบปกติได้ ตั้งแต่ 3 - 100 เท่า โดยการเล่น Leverage นี้ เป็นเหมือนดาบสองคมซึ่งผู้ใช้งานมีโอกาสจะได้กำไรมากกว่าเดิมหลายเท่าแต่เมื่อขาดทุนก็มีโอกาสขาดทุนได้หลายเท่าด้วยเช่นกัน

 

โดยบริการ Margin Leverage นี้ ยังไม่มีให้บริการในไทยมีจำกัดเฉพาะตลาดต่างประเทศ เช่น Binance, Huobi, Bitmex, Bybit 

 

• การเทรด Future Contract (ซื้อ Short หรือ Long)

การเล่นอนุพันธ์ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สามารถทำได้ในโลกของ Digital Asset โดยนักลงทุนสามารถเปิดสัญญา Short (เก็งว่าราคาจะลง)หรือ Long (เก็งว่าราคาจะขึ้น) ได้

 

เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทำให้นักลงทุนสามารถ Hedge ความเสี่ยงในการถือครอง Digital Asset หรืออาจใช้ในการทำกำไรในตอนที่ตลาดมีลักษณะเป็นขาลง โดยบริการ Future Contract นี้ ยังไม่มีให้บริการในไทย มีจำกัดเฉพาะตลาดต่างประเทศ เช่น Binance, Huobi, FTX

 

3. Mining / Staking

• Mining หรือการขุด 

มี Digital Asset มากมายในปัจจุบันที่คุณสามารถขุดได้ เช่น Bitcoin, Ethereum, Litecoin โดยการขุด Digital Asset เหล่านี้ ผู้ใช้งานจำเป็นต้องซื้อเครื่องขุดอย่างการ์ดจอหรือ Asic เพื่อนำมาทำการขุด แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันการขุดนั้น ไม่ใช่อะไรที่น่าลงทุนเท่าไรนักสำหรับนักลงทุนมือใหม่ เพราะต้นทุนที่สำคัญของการขุดก็คือ “ค่าไฟ” ซึ่งในประเทศไทยนั้นต้องจ่ายค่าไฟสูงกว่าในหลาย ๆ ประเทศ ทำให้การที่จะได้กำไรจากการขุดนั้นค่อนข้างยากโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนไม่มีประสบการณ์ นอกจากนี้นักลงทุนยังต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์พอสมควรอีกด้วย

 

แต่สำหรับคนที่สนใจในเรื่องการขุด Digital Asset คุณสามารถลองคำนวณต้นทุนและกำไรคร่าว ๆ ได้ที่ whattomine.com โดยการใส่ต้นทุนค่าไฟและกำลังขุดของเครื่องขุดลงไป หรือ อาจจะลองใช้การ์ดจอคอมพิวเตอร์ของคุณขุดแบบง่าย ๆ ด้วยโปรแกรม NiceHash จาก nicehash.com

 

สำหรับบางคนอาจจะมองหาบริการเช่ากำลังขุดจากผู้ให้บริการอย่าง Cloud Mining ซึ่งที่จริงแล้ว Cloud Mining เคยเป็นธุรกิจที่ได้กำไรจริงในอดีต แต่เมื่อธุรกิจการขุดเริ่มแข่งขันกันมากขึ้น ทำให้ในปัจจุบันแทบไม่มี Cloud Mining ใดที่ได้กำไรอีกต่อไปแล้ว และยังมี Cloud Mining จำนวนมากที่เป็น Scam หรือหลอกลวงโดยการอ้างผลตอบแทนที่สูง ปัจจุบัน Cloud Mining ที่น่าเชื่อถือ ได้แก่ Hashnest และ Genesis Mining 

 

• Staking หรือการขุดในรูปแบบวางเหรียญที่เรามีค้ำ

Digital Asset บางชนิดนั้น คุณสามารถทำการ Staking เหรียญได้ คล้ายๆ กับการฝากเงินและได้ดอกเบี้ย เช่น Zcoin Cosmos Band Dash อย่างไรก็ตามการ Staking นั้น ผู้ใช้งานจำเป็นต้องมีความรู้พอสมควรเพื่อที่จะตั้ง Node สำหรับการ Staking ทำให้ปัจจุบันมีตลาดแลกเปลี่ยนบางแห่งให้บริการ Staking บนแพลตฟอร์มโดยแลกกับส่วนแบ่งเล็กน้อย เช่น Binance หรือ Okex ในไทยเอง Satang Pro ก็มีบริการ Staking ของ Zcoin เช่นกัน

 

การ Staking นั้น แม้อาจดูปลอดภัยแต่ก็มีความเสี่ยงในเรื่องของมูลค่าของ Digital Asset ที่เราซื้อและผลตอบแทนที่เราได้ จะได้เป็น Digital Asset ชนิดนั้นๆ

 

4. Yield Farming

Yield Farming คือ การสร้างรายได้อย่างมั่นคงต่อยอดจากสินทรัพย์ที่เรามีอยู่ โดยการเอาสินทรัพย์ดิจิทัลที่เรามีไปวางสักที่นึง แล้วให้มันมีการใช้งานโดยระบบ เพื่อแลกกับผลตอบแทน โดยเรามีความเสี่ยงที่จะเสียเงินต้นต่ำ นั่นหมายความว่า ถ้าเรามีเหรียญ ETH เราสามารถนำมันไปวางสักที่ แล้วมีรายได้เพิ่มได้ โดยไม่เสีย ETH ที่เรามีอยู่  

 

ทำไมใช้คำว่า Yield Farming?

 

สิ่งที่เราทำนั้นคล้ายกับการทำฟาร์มเนื่องจากสินทรัพย์ที่เราวางไปนั้นไม่จำเป็นต้องได้ผลผลิตเหมือนเดิมเราสามารถเลือกวางสินทรัพย์นั้นในแพลตฟอร์มที่ต่างออกไปโดยแต่ละที่จะมีผลผลิตที่ต่างกันบางที่อาจจะให้ผลผลิตในสกุลเงินที่เราวาง บางที่อาจจะให้เป็นสกุลอื่นที่เกี่ยวข้อง

 

หรือบางที่อาจจะให้เหรียญของแพลตฟอร์มเขาเองเป็นการตอบแทนก็ได้ ดังนั้นการเปรียบเทียบผลผลิตที่เราจะได้นั้นมีความสำคัญในการทำ Yield Farming เป็นอย่างมาก เพราะเราต้องการใช้สินทรัพย์ที่เรามีสร้างรายได้ให้คุ้มค่าที่สุดในเวลานั้น

 

• การวาง Digital Asset กับตัวกลาง

ในโลกของ Digital Asset นั้น การทำกำไรด้วยการปล่อยกู้ก็ดูเหมือนจะเป็นอีกวิธีหนึ่งในการทำกำไรได้ง่ายและสะดวกสบายการปล่อยกู้ผ่านตัวกลางนั้นไม่ต่างอะไรกับการฝากธนาคาร เพียงแต่มันคือแพลตฟอร์มในโลก Digital Asset

 

โดยส่วนมากแล้ว ผู้ที่ให้บริการรับปล่อยกู้ก็คือตลาดแลกเปลี่ยนที่นำเงินของเราไปปล่อยกู้ให้กับคนที่เล่นมาร์จิ้น อย่างไรก็ตาม แพลตฟอร์มเหล่านี้ก็มีความเสี่ยงของตัวกลางเช่นกัน ตัวอย่างของผู้ให้บริการเช่น Binance Saving

 

• การวาง Digital Asset กับระบบไร้ตัวกลาง (DeFi) 

การวางสินทรัพย์ที่เรามีไปในระบบที่ไร้ตัวกลางนั้นถูกเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Liquidity Miningซึ่งเป็นการสร้างสภาพคล่องให้กับแพลตฟอร์มนั้นๆที่อาจจะเป็นแอปปล่อยกู้

 

แต่หากเป็นเว็บเทรดที่ไม่มีสภาพคล่องก็จะไม่มีคนมาใช้งาน แพลตฟอร์มเหล่านี้จึงจำเป็นต้องสร้าง Incentive หรือแรงจูงใจให้กับนักลงทุนที่ถือสินทรัพย์เหล่านั้นอยู่แล้วให้เอามาวางให้ โดยจะแบ่งค่าธรรมเนียมหรือแจกเหรียญของแพลตฟอร์มนั้นให้

 

ถ้าอยากรู้อีกละก็..ตามมาอ่านต่อได้ที่ 2read หรือ คลิกที่นี่