ทุกวันนี้ เราไม่สามารถปฎิเสธได้เลยว่าพลังงานไฟฟ้านั้น เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตประจำวันของเราไปเรียบร้อยแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอนาคตนั้น ความต้องการพลังงานไฟฟ้าจะมีมากยิ่งขึ้นจากกระแสการใช้รถยนต์ไฟฟ้าจากผู้คนทั่วทุกมุมโลก
สำหรับประเทศไทยนั้น รัฐบาลเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจกับเรื่องนี้แต่อย่างใด เพราะเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทางรัฐก็ได้ผลักดันให้ให้ไทยเป็นฐานการผลิตรถไฟฟ้า 100% ในปี 2578 หรือ อีก 14 ปีข้างหน้า ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายเดิมในปี 2583 หรือเร็วขึ้นกว่าเดิม 5 ปี โดยในขณะที่ปี 2573 ประเทศไทยจะต้องผลิตรถไฟฟ้าให้ถึง 50% ของปริมาณการผลิตรถทุกชนิด
หมายความว่าในวันข้างหน้า เราจะได้เห็นรถยนต์พลังไฟฟ้าบนท้องถนน พร้อมกับสถานีชาร์จรถยนต์ทั่วทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็นปั้มน้ำมัน ห้างสรรพสินค้า อาคารชุด สำนักงาน หรือแม้แต่ที่พักอาศัยอย่างคอนโดเองก็ตาม
เมื่อความต้องการพลังงานไฟฟ้าในอนาคตจะมีมากยิ่งขึ้น สิงห์ เอสเตท จึงมองเห็นโอกาสนี้ด้วยการเข้าไปลงทุนธุรกิจโรงไฟฟ้าเพื่อที่จะสร้างจุดแข็งที่ทรงพลังให้กับธุรกิจ ที่จะทำให้บริษัทเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป
ภาพจำลองนิคมอุตสาหกรรม เวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ ไทยแลนด์
สิงห์ เอสเตท เลยขยับก้าวสำคัญอีกหนึ่งขั้น ด้วยการลงนามในข้อตกลงเข้าซื้อหุ้น 100% ของบริษัท ปาร์ค อินดัสตรี จำกัด เป็นเจ้าของนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ ไทยแลนด์ มีเนื้อที่ 1,790 ไร่ ตั้งอยู่ใน จ.อ่างทอง โดยมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 2,421 ล้านบาท
โดย 510 ล้านบาทเป็นเงินที่จ่ายเพื่อซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท ปาร์ค อินดัสตรีในราคาพาร์ ส่วนอีก 1,726 ล้านบาทเป็นเงินที่จะใช้ในการลงทุนพัฒนานิคมอุตสาหกรรม และอีกส่วนหนึ่งเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ
แล้วเพราะอะไร สิงห์ เอสเตท จึงเลือกซื้อนิคมอุตสหกรรม แล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับธุรกิจโรงไฟฟ้า ??
คำตอบอยู่ตรงนี้ครับ การผสานธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมเข้ากับธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า จะสร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจของสิงห์ เอสเตท ทั้งด้านการเงิน และการดำเนินงาน เนื่องจากโดยทั่วไปแล้วนิคมอุตสาหกรรมคือหนึ่งในผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุด
การดำเนินกิจการในนิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้ทำให้เกิดความต้องการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าทั้งสามแห่งของสิงห์ เอสเตท และการที่นิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้ เน้นสินค้าอาหารโดยเฉพาะ ทำให้มีความต้องการใช้ไอน้ำจากผู้ประกอบการแปรรูปอาหารต่างๆ ซึ่งโรงไฟฟ้านี้ก็ยังเป็นผู้ผลิตไอน้ำที่ใช้ได้ในอุตสาหกรรมอาหารด้วย
กิจการโรงไฟฟ้ายังช่วยให้สิงห์ เอสเตท มีรายได้อย่างต่อเนื่อง และมีกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ ลดความเสี่ยงในเรื่องความไม่แน่นอนของกระแสเงินสดจากการขายพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรม
อีกทั้งทำเลที่ตั้งของนิคมฯ แห่งนี้ ถือว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่มีความเหมาะสมสำหรับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหาร เนื่องจากตั้งอยู่ใจกลางห่วงโซ่อุปทานอาหารและวัตถุดิบของประเทศ ทั้งแหล่งสำคัญในการผลิตข้าว ผลิตภัณฑ์จากนม และสัตว์ปีก นอกจากนี้ยังมีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากอยู่ใกล้กับแม่น้ำเจ้าพระยา
ยังมีการคาดการณ์ว่า ความต้องการที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้น เมื่อมีการผ่อนปรนมาตรการความเข้มงวดในการเดินทางหลังการคลี่คลายของวิกฤตโควิด-19 อีกด้วย
การลงทุนดังกล่าวนี้ สิงห์ เอสเตท ตั้งเป้าหมายไว้ว่า บริษัทจะดันรายได้ต่อปีให้เพิ่มขึ้นสามเท่า กลายเป็นประมาณ 20,000 ล้านบาทต่อปี และมีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น 80,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลาสามปี
นับว่าเป็นการลงทุนกับอนาคตอย่างแท้จริงสำหรับสิงห์ เอสเตท ไม่ว่าจะเป็นภาพระยะสั้นในเรื่องของราคาที่ดินที่จะสูงขึ้นหลังหมดโควิด รวมถึงภาพระยะยาวกับพลังงานไฟฟ้าซึ่งเป็นเมกะเทรนด์
การลงทุนครั้งนี้จึงเป็นอีกครั้งที่ สิงห์ เอสเตท ได้ตอกย้ำว่าพวกเขามุ่งมั่นที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนนั่นเอง