วิกฤต COVID-19 รอบนี้ ส่งผลให้ธุรกิจการบินเจอกับปัญหาค่อนข้างหนัก รวมถึงหุ้นดาวเด่นอย่าง AAV ที่ยังไม่พบทางออก และนักลงทุนยังต้องติดตามกันต่อไป
AAV เปิดเผยว่า บอร์ดมีมติปรับโครงสร้างกิจการและทุนของบริษัท รวมถึงบริษัทย่อยอย่างไทยแอร์เอเชีย เนื่องจากบริษัทได้รับผลกระทบจากโควิด-19ระบาด ประกอบกับยังไม่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากสถาบันการเงิน รวมถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan) จากภาครัฐ
... และวิธีการต่อมา คือ "เพิ่มทุน" เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้แก่บริษัท และนำไทยแอร์เอเชียเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแทน AAV
บล.เอเชียพลัส วิเคราะห์ว่า AAV มีปัจจัยเชิงลบ ส่งผลให้ราคาหุ้นมีโอกาสลดลง จาก 3 ปัจจัย คือ
1. สินเชื่อจากกลุ่มผู้ลงทุนใหม่ จำนวนไม่เกิน 3,150 ล้านบาท ซึ่งมีเงื่อนไขสามารถแปลงหนี้เป็นทุนได้ในอนาคต
2. การปรับโครงสร้างหนี้ของเจ้าหนี้รายใหญ่บริษัท แอร์เอเชีย อินเวสเมนท์ ลิมิเต็ด มูลค่า 3.9 พันล้านบาท หากเจ้าหนี้แปลงหนี้เป็นทุนจะส่งผลให้เกิด Dilution Effect ต่อผู้ถือหุ้นเดิม
3. การนำไทยแอร์เอเชีย เข้าตลาดหุ้น จะทำให้การถือครองของ AAV ลดลง
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยมองว่า ถ้าผ่านกระบวนการนี้ไปได้ จะทำให้โครงสร้างทางการเงินของ AAV แข็งแกร่งขึ้นและจะผ่านวิกฤต COVID-19 ไปได้ แต่แนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนใน AAV ไปก่อนจนกว่าจะมีความชัดเจนเรื่องการปรับโครงสร้าง
บล.ดีบีเอส มองว่ามีความเสี่ยงสำหรับผู้ถือหุ้น AAV โดยการนำไทยแอร์เอเชียเข้ามาแทน จะไม่ได้ให้เป็นเงิน แต่จะเป็นลักษณะอัตราการแลกเปลี่ยนหุ้น (Swap) แทน ในอัตราการคืนหุ้นเท่ากับ 1 หุ้นของบริษัทฯ ต่อ 0.098785 หุ้นของไทยแอร์เอเชีย
มูลค่าหุ้น AAV ที่ได้คืน ขึ้นกับราคา IPO ของไทยแอร์เอเชีย ในกรณีหากใช้ราคาหุ้นเพิ่มทุนหรือราคาแปลงสภาพจากเงินกู้ของไทยแอร์เอเชียที่ 20.3925 บาท/หุ้น มาคำนวณจะได้ราคาหุ้น AAV ที่เพียง 2.01 บาท เทียบกับราคาหุ้นที่ซื้อขายอยู่ในขณะนี้ที่ 2.60 บาท ก็ดูเหมือนว่าจะ "ไม่คุ้ม"
แต่ความจริงขึ้นกับราคา IPO ของไทยแอร์เอเชียที่จะมีการกำหนดในอนาคตว่าจะเป็นเท่าใด ซึ่งคาดว่าจะสูงกว่าที่ 20.3925 บาท/หุ้น
ดังนั้น ราคา IPO ของไทยแอร์เอเชีย จึงมีความสำคัญกับราคาหุ้น AAV ในขณะนี้มาก ....
ซึ่งต้องรอความชัดเจนผ่านการประชุมผู้ถือหุ้นก่อน และกระบวนการจัดทำ IPO ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาอีกประมาณ 7-8 เดือน
อีกทั้งยังมีความเสี่ยงอีกประการ คือ Dilution Effect ค่อนข้างมากที่จะเกิดกับ ไทยแอร์เอเชีย
ฝ่ายวิจัย มองว่า AAV มีความเสี่ยงมากในเรื่องราคา IPO ไทยแอร์เอเชียและการปรับโครงสร้างหนี้เพราะในที่สุด AAV ก็จะต้องถูกชำระบัญชี และออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯไป (Delisting) และมี ไทยแอร์เอเชีย มาเป็นบริษัทจดทะเบียนฯ (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ฯแทน
บล. หยวนต้า วิเคราะห์ว่า ภาพยังไม่ชัดเจน กระบวนการปรับโครงสร้างยังไม่แล้วเสร็จ อีกทั้งผลประกอบการในปี 2564 คาดว่าจะยังไม่ฟื้นตัว แต่ถ้าปรับโครงสร้างแล้วเสร็จ บริษัทได้สภาพคล่องใหม่เข้ามาเติม จะทำให้ผ่านพ้นวิกฤตไปได้
นี้ก็ถือเป็นสถานการณ์ของ AAV ในตอนนี้ที่ยังยากลำบากอยู่ และสำหรับการลงทุนแล้วต้องยอมรับว่า AAV ยังมีความไม่ชัดเจนในสถานการณ์หลายอย่าง เช่น เรื่องของการขาย IPO ไทยแอร์เอเชีย จะออกมาอย่างไร
ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยหลายสำนักมีความเห็นตรงกันว่า ถ้าปรับโครงสร้างแล้วเสร็จ AAV จะกลับมาอย่างแข็งแกร่งแน่นอน
====================
ขอบคุณแหล่งข้อมูล