สรุปสาระสำคัญ
- บทวิจัยจาก KKP Research มองว่าตลาด EV ในไทยจะถูกขับเคลื่อนโดยบริษัทผลิต EV ในจีน
- เราจะเห็นการเติบโตชัดเจนในปี 2023
- ราคาที่แพงเกินไป ภาครัฐไม่สนับสนุน จะเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของรถ EV ในไทย
- ราคาแบตเตอร์รี่ ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดการเติบโตของรถ EV ในไทยอีกด้วย
บทวิจัยจาก KKP Research โดยกลุ่มการเงินเกียรตินาคิน วิเคราะห์ว่า ตลาด EV ซึ่งนับรวมเฉพาะแบตเตอรี่อีวี (BEV) และปลั๊กอินไฮบริดอีวี (PHEV) จะเริ่มเห็นการเติบโตเด่นชัดในปี 2023 โดยยอดขาย EV ในตลาดรถยนต์นั่งของไทยจะแตะระดับนัยสำคัญที่ 2 หมื่นคันหรือคิดเป็น 3% ของยอดขายรถยนต์นั่งรวม และส่วนแบ่งตลาดของ EV ที่เพิ่มขึ้นในระยะแรกจะมาจากกลุ่มลูกค้าที่สนใจหรือครอบครองรถไฮบริด (HEV) อยู่เดิม
อย่างไรก็ตาม ตลาด EV จะเติบโตเร็วหรือช้าหลังจากนั้นจะขึ้นอยู่กับการสนับสนุนของภาครัฐ ถ้าหากมีการสนับสนุนจริงๆ เราจะได้การเติบโตเป็นสัดส่วนระดับ 34% ของรถยนต์นั่งในไทย
ทั้งนี้ ตลาด EV ในประเทศไทยจะเติบโตได้จาก 3 ปัจจัยสนับสนุนสำคัญ คือ
1. ตัวเลือก EV มีมากน้อยแค่ไหน และภาษีนำเข้าจะสูงหรือไม่
2. ราคาแบตเตอร์รี่
3. ลดฝุ่น PM2.5 ได้มากน้อยแค่ไหน
อย่างไรก็ตาม KKP Research มองว่ายังมีอุปสรรคอย่างน้อย 4 ประการที่จะฉุดรั้งการขยายตัวของตลาด EV ในไทย คือ
1. ราคารถไฟฟ้า EV ที่สูงกว่าประเทศอื่น ทำให้ไม่เกิดความคุ้มค่าในการซื้อมาใช้งาน
2. ภาครัฐยังไม่เอื้อ ราคาแบตเตอร์รี่สูงเพราะการนำเข้าทำให้เสียภาษีมาก
3. สถานีชาร์ตไม่ครอบคลุม
4. คนในเมืองอาจจะหันมาใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น
.. ซึ่งท้ายที่สุดแล้วตลาด EV ในประเทศที่เติบโตได้ช้าอาจส่งผลให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยไม่สามารถปรับตัวได้ทัน และไทยสูญเสียโอกาสในการเป็นผู้ผลิตยานยนต์สมัยใหม่ของโลก
ในด้านความเสี่ยงต่อภาคการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วน ไทยกำลังกลายเป็นฐานการผลิตรถเครื่องยนต์สันดาปภายในแห่งสุดท้ายของอาเซียน จากโซ่การผลิตยานยนต์ที่แนบแน่นกับบริษัทรถจากญี่ปุ่นที่ยังไม่ลงทุนพัฒนาเทคโนโลยี EV เต็มตัว การเปลี่ยนผ่านไปสู่ EV ในไทยซึ่งมีสัดส่วนการผลิตรถเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ถึงครึ่งหนึ่งของอาเซียนจึงมีต้นทุนในการปรับตัวสูงทั้งในด้านเทคโนโลยีและด้านแรงงานที่เกี่ยวเนื่องกับการปรับทักษะและกฎหมายแรงงาน บริษัทรถยนต์จากญี่ปุ่นจึงมีแนวโน้มที่จะรักษาฐานการผลิตรถ ICE หรือแม้แต่รวมการผลิตรถ ICE ในภูมิภาคมาไว้ในประเทศไทย ส่งผลให้ไทยจะยังเป็นฐานการผลิตรถ ICE ของบริษัทญี่ปุ่นในอาเซียนต่อไป สวนทางกับตลาด EV ในประเทศที่จะเติบโตจากการนำเข้าจากจีนที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี EV ในปัจจุบันเป็นหลัก
ผลจากการเป็นฐานการผลิตรถเครื่องยนต์สันดาปภายใน ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนผ่านไปสู่ EV ทั่วโลกตลอด 2 ทศวรรษข้างหน้า อาจทำให้ไทยเสี่ยงขาดดุลการค้าในหมวดยานยนต์และชิ้นส่วนในระยะต่อไป จากปัจจุบันที่เป็นสินค้าส่งออกสำคัญหนึ่งในสามอันดับแรก คิดเป็นถึงประมาณ 17% ของมูลค่าการส่งออกของไทย และช่วยให้ไทยได้ดุลการค้าถึงราว 4% ของ GDP การส่งออกรถ ICE ที่มีแนวโน้มชะลอลงประกอบกับการนำเข้า EV ที่ทยอยเพิ่มขึ้นเป็นลำดับอาจทำให้ดุลการค้าในหมวดยานยนต์และชิ้นส่วนของไทยลดลงจนกลายเป็นลบ สะท้อนการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันด้านยานยนต์ของไทย และอาจเป็นแรงกดดันต่อดุลบัญชีเดินสะพัดในอนาคต
ภาคยานยนต์และชิ้นส่วนเป็นแหล่งจ้างงานสำคัญในภาคการผลิตของไทย โดยจ้างงานถึง 8 แสนตำแหน่ง ใน 2,200 บริษัทที่รวมตัวเป็นโซ่การผลิตที่แข็งแกร่ง KKP Research โดยกลุ่มการเงินเกียรตินาคินภัทรมองว่า การเปลี่ยนผ่านไปสู่ฐานการผลิต EV จำเป็นต้องมีการวางแผนอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ทั้งโซ่การผลิตสามารถขยับได้ไปพร้อมกัน และภาครัฐควรมีมาตรการ 3 ด้านเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมการผลิต EV คือ
1. กำหนดเป้า EV ระยะสั้น-กลาง-ยาว และอุดหนุนการซื้อ EV เพื่อสร้างตลาด EV ที่ใหญ่เพียงพอ
2. ส่งเสริมการลงทุน และควรลดภาษีนำเข้าแบตเตอรี่และส่วนประกอบที่จำเป็นในระยะเริ่มต้น เพื่อวางฐานการผลิต EV ในประเทศให้แข่งขันได้กับ EV นำเข้า
3. ขยายโครงสร้างพื้นฐานและระบบนิเวศ EV
อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่ : https://advicecenter.kkpfg.com/th/money-lifestyle/money/economic-trend/ev-market-situation-in-thailand