#แนวคิดด้านการลงทุน

จัดพอร์ตแบบหวังรายได้เงินสด จาก กองรีท และกองอินฟราฯ

โดย อธิป กีรติพิชญ์
เผยแพร่:
128 views

นาทีนี้ มีหลายท่านที่เกษียณออกจากงานประจำมาแล้ว อีกหลายท่านที่เกษียณก่อนกำหนด(Early Retirement) และอีกหลายท่านที่เพิ่งยุติอาชีพลูกจ้างพนักงานกินเงินเดือนผ่านโครงการ ร่วมใจจาก หรือ จากด้วยใจ แต่ก็ได้เงินก้อนใหญ่ออกมาจำนวนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จากกองทุน RMF ที่พร้อมขาย หรือจากโครงการเกษียณก้อนใหญ่ที่ได้แถมมา ซึ่งมากพอที่จะเริ่มอาชีพนักลงทุนเต็มเวลา (Full Time Investor) ได้ทันที 

 

ในกรณีทั่วไป หน้าที่นักลงทุนส่วนใหญ่คือการบริหารพอร์ต เพื่อให้เติบโตขึ้นตามเวลา ...แต่ในฐานะของคนที่เคยได้รับเงินเดือนมีรายได้มาทั้งชีวิต มาถึงวันเกษียณที่จะไม่มีกระแสเงินสดจากเงินเดือนแล้ว จะบริหารพอร์ตอย่างไร ให้มีรายได้สม่ำเสมอ โดยที่ไม่จำเป็นต้องรบกวนเงินต้น และไม่ต้องขายหุ้น ขายกองทุนออกมาทุกเดือนเพื่อใช้จ่าย  

 

นี่คือแนวคิดการบริหารพอร์ตการลงทุน เพื่อคนวัยเกษียณหรือไม่มีรายได้ประจำแล้ว หลักสำคัญมี 2 ประการ 

  1. เน้นปกป้องเงินต้นมากกว่า เน้นสร้างผลตอบแทน”  
  2. เน้นสร้างรายได้จากการถือครองพอร์ตการลงทุน 

 

แนวคิดนี้คือการจัดพอร์ตแบบ Income Focus Portfolio ซึ่งเป็นพอร์ตการลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนในรูปแบบกระแสเงินสด ออกแบบสำหรับนักลงทุนที่ต้องการรายได้กระแสเงินสดในระหว่างปีเพื่อนำมาใช้จ่าย โดยการผสมสินทรัพย์การลงทุนที่หลากหลายที่เรียกว่าการทำ Asset Allocation ให้เหมาะสมกับฐานทุน อายุและความเสี่ยง เพื่อลดความผันผวน และสร้างผลตอบแทนสม่ำเสมอเป็นระยะเวลายาวนาน โดยตั้ง เป้าหมายกระแสเงินสดได้อย่างน้อยปีละ 4-5% ซึ่งแน่นอนว่ามาจากเงินปันผลนั่นเอง ในขณะที่เป้าหมายของการเติบโตของพอร์ตอาจจะไม่สูงมาก อยู่ที่ประมาณ 5-7% ต่อปี เป็นต้น 

 

การคัดสรรหุ้นเข้าพอร์ต เราสามารถเลือกหุ้นปันผลสูง ซึ่งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้จัดทำดัชนี SETHD ซึ่งถือเป็นตัวกรองสำคัญที่ช่วยให้เราหาหุ้นปันผลได้ง่ายขึ้น SETHD หรือ SET High Dividend 30 Index เป็นดัชนีที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ รวบรวมหุ้น 30 ตัว ที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงต่อเนื่อง(High Dividend) มีมูลค่าตลาดสูง(Big Cap) และมีสภาพคล่องสูง(High Liquidity) อย่างสม่ำเสมอ เช่น BBL, AP, INTUCH, BCP, LH, PSH, PTT, ฯลฯ 

 

นอกจากนี้ ยังมีหุ้นอยู่กลุ่มหนึ่งที่มักถูกมองข้ามจากกลุ่มนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง แต่มีความน่าสนใจไม่แพ้หุ้นปันผลในกลุ่ม SETHD  นั่นคือกลุ่ม กองรีท (REIT)และกองโครงสร้างพื้นฐาน(Infrastructure fund) 

 

REIT ย่อมาจาก Real Estate Investment Trust เป็นกองประเภท ทรัสต์ หรือกองทรัพย์สิน สามารถลงทุนได้ในทุกประเภทของอสังหาฯ และยังมีกองที่ลักษณะคล้ายกันคือ กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) แหล่งที่มาของรายได้ทั้งกองรีทและกองอสังหาฯ คือ การเก็บค่าเช่า จากอสังหาฯเหล่านั้น หากแบ่งประเภทของกองรีทในประเทศไทย อาจแบ่งกลุ่มใหญ่ได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ 

 

  1. กลุ่มอาคารสำนักงานและห้างสรรพสินค้า เป็นกลุ่มที่ถูกผลกระทบจากโควิดพอสมควร ห้างสรรพสินค้าหลายแห่งถูกกระทบจากโควิดในช่วงล็อคดาวน์ ผู้ค้ารายย่อยบางส่วนยอมคืนพื้นที่เช่า ตัวอย่างเช่น FUTUREPF TLGF LHSC CPNREIT ฯลฯ กรณีอาคารสำนักงาน บริษัทใหญ่หลายแห่งใช้นโยบาย Work From Home ต่อเนื่องแม้จะพ้นช่วงล็อคดาวน์แล้ว การฟื้นตัวของความต้องการใช้พื้นที่สำนักงานต้องใช้เวลาอีกสักพัก ขณะที่พื้นที่สำนักงานใหม่ๆ ยังคงมีออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง หรือเพิ่งก่อสร้างเสร็จ เช่น One Bangkok, Dusit Central Park, The PARQ เป็นต้น ตัวอย่างเช่น BOFFICE, GVREIT, TPRIME ฯลฯ

  

  1. กลุ่มโรงงานและโลจิสติกส์ จัดว่ามีความน่าสนใจ  เนื่องจากลูกค้าส่วนมากอยู่ในภาคการผลิตและผู้ให้บริการคลังสินค้า ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจต่อเนื่องอื่นๆ เช่น E-Commerce ที่กำลังเติบโตสูง และได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ค่อนข้างจำกัด เมื่อมีการเปิดประเทศ การผลิตและพื้นที่อุตสาหกรรมมีโอกาสกลับมาขยายตัว กองรีทกลุ่มโรงงานและโลจิสติกส์ จึงค่อนข้างทนทานต่อวิกฤต เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ และคาดหวังผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ ทั้งยังคาดหวังการเติบโตได้พอสมควร ตัวอย่างเช่น AIMIRT WHART HREIT FTREIT เป็นต้น

 

  1. กลุ่มโรงแรม ในระยะสั้นจัดเป็นกลุ่มที่ถูกผลกระทบจากโควิดมาก และยังมีตัวเปรียบเทียบกับการลงทุนซื้อหุ้นโรงแรมโดยตรงซึ่งราคาก็ยังคงไม่ฟื้นตัวดีเช่นกัน อีกทั้งกองรีทโรงแรม กว่าจะกลับมาจ่ายปันผลได้เป็นปกติอาจจะต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ เพราะในปี 2563 ถูกโควิดกระทบรุนแรงมาก    

 

Infrastructure Fund (IF) เป็นกองทุนที่ลงทุนในกิจการโครงสร้างพื้นฐานของประเทศทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เช่น โรงไฟฟ้า, ทางด่วน, ท่าอากาศยาน, รถไฟฟ้า, โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม, เป็นต้น แหล่งที่มาของรายได้กอง IF คือ การเก็บค่าใช้งาน จากโครงสร้างพื้นฐาน เหล่านั้น เช่น BTSGIF(ค่าโดยสารรถไฟฟ้า), ABPIF(ค่าขายไฟฟ้าในนิคมอมตะ), DIF(ค่าเช่าเสาโทรคมนาคม), JASIF(ค่าเช่าเส้นใยแก้วนำแสง), EGATIF (ค่าขายไฟฟ้า), และ TFFIF (ค่าผ่านทางด่วน) เป็นต้น 

 

การลงทุนระยะยาวในกลุ่ม REIT และ IF มีความน่าสนใจ เพราะให้ปันผลสูง และความเสี่ยงต่ำ (เพราะค่าเช่ามักจะสม่ำเสมอ) และ มีการเติบโตพอควร(สามารถเพิ่มอัตราค่าเช่าในแต่ละปีได้) นักลงทุนที่ต้องการกระแสเงินสดและความเสถียร(กว่า)ของราคา จึงไม่ควรพลาดที่จะศึกษาและพิจารณากลุ่มนี้ไว้เป็นส่วนหนึ่งในพอร์ตการลงทุน


เจ้าของหนังสือ Best Seller “ติวหุ้น รวยด้วยวีไอ” และยังเป็นวิทยากรคอร์ส “ลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐานแบบ Value/Growth Investor” ด้วยประสบการณ์ในตลาดทุนกว่า 17 ปี และประสบการณ์ในการเป็นติวเตอร์ บวกกับความเป็นคนอารมณ์ขัน  ทำให้คุณนิ้วโป้งสามารถถ่ายทอดเรื่องยาก อย่างการลงทุน ให้เข้าใจได้ง่าย และยังใช้ภาษา ลีลาที่มีเอกลักษณ์น่าสนใจอย่างยิ่ง จึงทำให้ได้รับเชิญไปบรรยายในงานต่างๆ มากมาย

Facebook

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง