อย่างที่เราทราบกันดีว่า เมื่อไม่นานมานี้ บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S บริษัทผู้พัฒนาและลงทุนอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ได้ประกาศไว้ว่าบริษัทฯเตรียมเดินหน้าขยายธุรกิจเพิ่มเติม ซึ่งจะไม่ใช่แค่ธุรกิจอสังหาฯอย่างเดียวแล้วนั้น
ล่าสุด ทาง สิงห์ เอสเตท ได้สิทธิ์เข้าซื้อหุ้นสามัญจำนวน 30% ในโรงงานผลิตไฟฟ้าและความร้อนร่วม (Co-generation power plant) ถึง 3 แห่งด้วยกัน โดยเป็นสิทธิ์ซื้อที่ราคาพาร์ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนรวมทั้งสิ้น 1,392 ล้านบาท
ซึ่งแต่ละแห่งนั้นก็เป็นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงระดับประเทศ ไม่ว่าจะเป็นของบริษัทอ่างทอง เพาเวอร์ จำกัด โดยมีกำลังการผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ 123 เมกะวัตต์
รวมไปถึงโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าแห่งใหม่ที่กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ที่น่าสนใจคือโรงไฟฟ้าแห่งนี้มีบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (ราชบุรี) 1 จำกัด และบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (ราชบุรี) 2 จำกัด เป็นเจ้าของใบอนุญาต โดยแต่ละแห่งนั้น จะมีกำลังการผลิตอยู่ที่โรงงานละ 140 เมกะวัตต์
เท่ากับว่า สิงห์ เอสเตท จะมีโรงไฟฟ้าที่มีการผลิตกระแสไฟฟ้ารวมกันถึง 400 เมกะวัตต์ด้วยกันเลยทีเดียว นับว่าเป็นสัดส่วนไฟฟ้าที่ค่อนข้างมาก ซึ่งจะทำให้บริษัทมีฐานธุรกิจที่มั่นคงในอุตสาหกรรมผลิตกระแสไฟฟ้าได้ทันที โดยที่ไม่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์
ถือเป็นก้าวสำคัญของสิงห์ เอสเตท ในการขยายธุรกิจสู่พลังงานไฟฟ้า เพราะนอกจากจะรองรับธุรกิจโลกอนาคตแล้ว การผนึกกำลังกันของทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจ ยังสามารถส่งเสริมซึ่งกันและกัน และยังเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันธุรกิจอสังหาฯได้อีกด้วย
ลองนึกภาพในวันข้างหน้าว่าโครงการบ้าน อาคารสำนักงาน หรือโรงแรมต่างๆที่อยู่ในเครือของ สิงห์ เอสเตททั้งหมด มีที่ชาร์ตสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าหรือ EV Car ไว้รองรับลูกค้า ซึ่งจะเป็นเมกาเทรนด์ในอนาคต จะสามารถสร้างรายได้ใหม่ๆได้มากขนาดไหน
เพราะแหล่งพลังงานไฟฟ้าก็ผลิตเองได้ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ซึ่งตรงนี้จะสามารถช่วยลดต้นทุน และเพิ่มผลกำไรของบริษัทได้อย่างแน่นอน โดยคาดการณ์ว่า โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง จะสร้างรายได้ราว 7,500 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2567 แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว จริงไหมครับ
การเข้าซื้อหุ้นในโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าทั้ง 3 โรงนี้ จะเป็นการสร้างผลตอบแทนที่น่าดึงดูดใจเป็นอย่างมากให้กับสิงห์ เอสเตท และมากไปกว่านั้นคือจะเป็นสร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจทั้งหมด ด้วยการเข้ามาส่งเสริมซึ่งกันและกัน กับธุรกิจต่างๆ ของสิงห์ เอสเตท (Synergy benefits)
นอกเหนือจากนั้น จะเป็นการสร้างรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง และยั่งยืน เสริมศักยภาพให้กับสิงห์ เอสเตท ในการเป็นธุรกิจที่จะสามารถเดินหน้าต่อไปได้เป็นอย่างดีในทุกสถานการณ์ (Resilient Business)
ก้าวสำคัญของสิงห์ เอสเตทครั้งนี้ นับเป็นหนึ่งก้าวในการเดินหน้าพัฒนาธุรกิจ โดยครอบคลุม 4 กลุ่มธุรกิจที่เชื่อมโยงกัน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีได้อย่างสม่ำเสมอ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ยากจะคาดเดา ทั้งในประเทศและทั่วโลก
ถือเป็นหัวใจสำคัญในการทำธุรกิจที่ในโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ....