การปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วของหุ้นไทยจากช่วง COVID-19 ที่ระดับ 1000 จุด มาอยู่ที่ระดับ 1550 จุด ประมาณ 550 จุดภายใน 7-8 เดือนนั้นเกิดขึ้นเร็วมาก นักลงทุนบางคนกลัวเลยคัตลอสไปหมด ในขณะเดียวกันนักลงทุนบางคนใช้จังหวะนี้ในการเข้าเก็บหุ้นชั้นดีเข้าพอร์ต
หรือแม้แต่ช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา SET Index วิ่งอยู่บริเวณ 1480 จุด แต่สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยวิ่งขึ้นมาอย่างแรงถึง 50 จุด นำโดยกลุ่มพลังงาน ค้าปลีก และธนาคาร
... ประเด็นคือการขึ้นครั้งนี้ของตลาดหุ้นไทยเลือกที่จะขึ้นเป็น "รายตัว" ถ้าเราซื้อหุ้นตัวที่ไม่ขึ้น เราควรจะทำอย่างไรดี
เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า สาเหตุที่ตลาดหุ้นขึ้น แต่หุ้นในพอร์ตเราไม่ขึ้น จะมาจาก 2 เหตุผลหลักคือ
1. เราเลือกซื้อหุ้นที่ "อ่อนแอ" กว่าตลาด
หมายความว่า หุ้นไทยขึ้น แต่หุ้นที่เราเลือกซื้อ "ขึ้นน้อย" กว่าตลาดหุ้นไทยนั้นเอง เช่นหุ้นไทยขึ้น 5% แต่หุ้นที่เราซื้อขึ้นแค่ 1-2% เราก็เรียกว่าอ่อนแอกว่าตลาด เวลาตลาดเกิดการพักตัว หุ้นทีอ่อ่นแอจะลงแรงกว่าตลาด
เราอาจจะต้องปรับเปลี่ยนแผนใหม่ คือ เลือกหุ้นที่แข็งแกร่งกว่าตลาด ถ้าหุ้นไทยขึ้น 5% หุ้นที่เราเลือกต้องขึ้นมากกว่า 5% แบบนี้ถึงจะเรียกว่า "แข็งแกร่ง" กว่าตลาด ถ้าตลาดพักตัว หุ้นที่แข็งแกร่งจะลงน้อยกว่าตลาด
ถ้าเราเลือกหุ้นในกลุ่มนี้ เราพอจะแน่ใจได้ว่าถ้าหุ้นขึ้นต่อ โอกาสที่เราจะได้กำไรจากการขึ้นมีค่อนข้างสูง แต่ทั้งนี้เราก็ต้องดูปัจจัยหลายๆอย่าง เช่น ช่วง 2-3 วันมานี้ หุ้นตัวที่แข็งแกร่งกว่าวอลุ่มลดลงไหม หรือการขึ้นของราคาติดแนวต้านบ้างหรือไม่ เราจำเป็นจะต้องมีแผนการอย่างรอบคอบ
2. เราเลือกหุ้นผิดสถานการณ์
หมายความว่าช่วงที่กองทุนต่างชาติเข้า จะเข้ามาซื้อหุ้นใหญ่ แต่ในพอร์ตเรากลับถือหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่ไม่ขึ้นเลย
... ในทางตรงกันข้าม ช่วงที่ FundFlow ไม่เข้า ต่างชาติเทขาย เรากลับซื้อหุ้นใหญ่ ในขณะที่รายย่อยในประเทศจะเลือกเล่นหุ้นกลาง-เล็ก มากกว่า แบบนี้เราเรียกว่าเลือกหุ้นผิดสถานการณ์
ถ้าทราบสาเหตุแล้ว พอจะมีทางแก้ได้บ้างไหม
ถึงแม้จะไม่สามารถแก้ได้ 100% แต่พอจะมีคำแนะนำแบบนี้ครับ
1. ดูวอลุ่มเทรด และการซื้อขายของต่างชาติ
ถ้าช่วงไหนวอลุ่มเทรดเยอะๆ แตะระดับแสนล้าน และสิ้นวันการซื้อขายต่างชาติซื้อติดต่อกันมาสักพักแล้ว ซึ่งเราสามารถหาอ่านข้อมูลจากบทวิเคราะห์ของโบรคเกอร์ได้ในแต่ละวัน แบบนี้ก็พอจะคาดเดาได้ว่านักลงทุนต้องเปลี่ยนมาเล่นหุ้นขนาดใหญ่ เช่นหุ้นใน SET100 หรือหุ้นใน SET50
ถ้าช่วงไหนวอลุ่มเทรดเงียบๆ ตลาดซึมๆ ต่างชาติยังเทขาย นักลงทุนก็ต้องปรับเปลี่ยนมาเล่นหุ้นขนาดกลาง-เล็ก หลีกเลี่ยงหุ้นขนาดใหญ่
2. ใช้กราฟจับจังหวะซื้อขายประกอบ
ในการดูกราฟ เราสามารถใช้อินดิเคเตอร์ เช่น เส้นค่าเฉลี่ยในการซื้อขาย หรือดูลักษณะการขึ้นของราคาหุ้นว่าขึ้นดีกว่า SET Index หรือไม่ เพื่อคัดกรองหุ้นตัวไหนแข็งแกร่งกว่าตลาด หรืออ่อนแอกว่าตลาด
ถ้าหุ้นตัวไหนยืนเหนือเส้น Moving Average นั้นแสดงว่า Bullish
ถ้าหุ้นตัวไหนยืนใต้เส้น Moving Average นั้นแสดงว่า Bearish
3. เพื่อความสบายใจ เราอาจจะต้องเลิกเปรียบเทียบซะบ้าง
บางครั้งการพยายามวิ่งไล่ล่าผลตอบแทนมากเกินไป ทำให้การลงทุนหรือเก็งกำไรไม่มีความสุข ดังนั้นถ้าเราคิดว่าวิธีการเลือกหุ้นของเราดีอยู่แล้ว การอยู่เฉยๆ หรือ"รอ" อาจจะเป็่นทางเลือกที่ดีกว่า
การเปรียบเทียบหลายๆครั้งทำให้เสียกำลังใจ และทำให้เราต้อง "ทำอะไรซักอย่าง" อยู่ตลอดเวลา เช่น ขายหุ้นที่เราถืออยู่ ไปซื้อหุ้นที่ขึ้นไปแล้ว ปรากฏว่าวันต่อมาหุ้นที่เราขายดันขึ้น หุ้นตัวที่เราซื้อไม่นานราคากลับลงเพราะเป็นช่วงเวลาของการปรับฐาน
... ดังนั้่นแล้ว เลิกเปรียบเทียบ อยู่เฉยๆ หุ้นของเราอาจจะ Underperform แต่สักวันอาจจะกลับมา Outperform ในช่วงที่ SET Index ปรับฐานก็เป็นไปได้
หรือถ้าจะให้มองยาวๆ ถ้าหุ้นของเราดีจริงๆ สักวันก็ต้องขึ้น ...
ให้คิดไว้เสมอว่า หุ้นมีรอบของมัน เพียงแต่หุ้นที่ยังไม่วิ่งอาจจะยังไม่ถึงรอบ แต่ถ้ารอบมันมาเมื่อไรก็ขอหนักๆละกัน ...