เชื่อหรือไม่ว่า ในปีวิกฤตโควิดที่ผ่านมา กระทั่งถึงทุกวันนี้ แม้การค้าขายในตลาดสดจะไม่คึกคัก แต่ต้องยอมรับว่าตลาดหุ้นคึกคักมาก ที่ผ่านมา พบว่ามีหลายวันซื้อขาย(Trading Day) ที่ปริมาณการซื้อขายหุ้นรวมต่อวันหนาแน่น ทะลุแสนล้านบาทกันเป็นว่าเล่น แม้ว่าวอลุ่มการซื้อขายจากกองทุน(นักลงทุนสถาบันในประเทศ) จะลดลงจากปีก่อนๆ แต่วอลุ่มการซื้อขายจากนักลงทุนรายบุคคล หรือรายย่อย (หรือเม่า สุดแท้แต่จะเรียก) กลับเพิ่มขึ้นสูงมาก ซึ่งพบว่า เพิ่มสูงทั้งในเชิงยอดการซื้อขายต่อวัน ยอดซื้อสุทธิ และ จำนวนนักลงทุนหน้าใหม่ที่เพิ่มมากขึ้น
จำนวนนักลงทุนหน้าใหม่ที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 ปี 2563 เป็นต้นมา กระทั่งถึงปัจจุบัน อาจจะมาจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น
- มนุษย์เงินเดือนจำนวนมากที่ Work From Home ทำงานอยู่ที่บ้าน มีเวลาว่างมากขึ้น
- มนุษย์เงินเดือนในบางเซกเตอร์ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด เช่น การบิน การโรงแรม การท่องเที่ยว ที่ต้องพักงานยาวๆ จึงอยากบริหารเงินเก็บสะสมให้งอกเงย
- หรือแม้แต่ล่าสุด ปรากฏการณ์หุ้น OR ที่มีนักลงทุนรายย่อยเข้าถือหุ้นมากถึง 525,054 ราย ซึ่งคาดว่ามีนักลงทุนหน้าใหม่ที่ยังไม่เคยเปิดพอร์ตหุ้นมากมายระดับแสนรายเลยทีเดียว
และก็อาจจะเป็นโชคดี ที่นักลงทุนหน้าใหม่เหล่านี้ ได้เข้ามาในตลาดหุ้นไทยช่วงตกท้องช้าง ดัชนีตลาดเฉลี่ยปีที่แล้วอยู่ที่ประมาณ 1200 -1400 จุด รวมทั้งนักลงทุนที่ได้ไอพีโอหุ้น OR ทำให้พอร์ตปัจจุบันดูเขียวสวยงาม น่ายินดี
นักลงทุนหลายท่าน ถือว่าเริ่มต้นได้ดี จังหวะการเข้าซื้อดี ทำให้พอร์ตดูเขียวสวยงาม...แต่กำไรที่แสดงในพอร์ตหุ้น ยังคงเป็นกำไรที่ยังไม่ได้รับรู้(Unrealized Profit) ถือว่าเป็นกำไรทางบัญชี ซึ่งจะรับรู้ได้ ก็ต่อเมื่อขายทำกำไร หรือ Take Profit ไปแล้วเท่านั้น
หลายท่านถามว่า การลงทุนระยะยาวนี่คือ ให้ซื้อทางเดียวห้ามขายเลยจริงไหม? ต้องบอกก่อนว่า ซื้อหุ้นมาต้อง“ขายได้” ครับ ไม่ได้ห้ามขาย... การขายหุ้นของนักลงทุนวีไอ สายปัจจัยพื้นฐาน ทำอย่างมีเหตุผล ไม่ต่างจากตอนเข้าซื้อ เหตุผลในการขาย มี 3 ข้อ
1. ราคาหุ้นเกินมูลค่า(overvalue)
ตอนซื้อให้ซื้อที่ “ราคาต่ำกว่ามูลค่า” ดังนั้นเวลาขายคือ “ราคาสูงเกินมูลค่า”
2. ดูพื้นฐานผิด หรือ พื้นฐานเปลี่ยน
- ดูพื้นฐานผิด คือ เราพบว่า สิ่งที่เราวิเคราะห์มันผิด ธุรกิจไม่ได้ดีจริง กิจการไม่ได้จะโตในแบบที่เราเข้าใจ
- พื้นฐานเปลี่ยน คือ กิจการประสบปัญหาที่กระทบความสามารถในการแข่งขันอย่างถาวร เช่น โดนสินค้าทดแทนที่ถูกกว่าและดีกว่ามาแย่งยอดขายไปหมด โดนนโยบายรัฐเปลี่ยนกฎการทำธุรกิจทำให้ต้นทุนเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก โดนฟ้องร้องจนอาจต้องเสียเงินเป็นจำนวนมากๆทำให้ขาดสภาพคล่อง โดนเทคโนโลยีดิสรัปชั่น ฯลฯ
3. พบหุ้นตัวใหม่ที่ Undervalue มากกว่า หรือมีศักยภาพในการเติบโตสูงกว่า
ถ้าเราเจอโอกาสในการลงทุนที่ดีกว่า ก็สามารถขายหุ้นที่มีอยู่ เพื่อไปลงทุนในโอกาสที่ดีกว่า
ถ้าเข้าเหตุปัจจัยข้อใดข้อหนึ่ง ถือว่า “ขายได้” และสมควรขายครับ นี่คือการตัดสินใจบนปัจจัยพื้นฐานหุ้น และเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการลงทุน