เมื่อก่อนผมก็ไม่เคยไปพูดเรื่องแบบนี้ที่ไหนมาก่อน ผมบอกว่า จะพูดเรื่อง “ปั้นหุ้น” ก็ควรจะต้องเข้าใจคำว่า “ปั่นหุ้น” เสียก่อน ความแตกต่างทางอักษรมันมีแค่เพียง "ไม้เอก" กับ "ไม้โท" เท่านั้น แต่กระบวนการและผลของมัน แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผมจะค่อย ๆ เรียบเรียงให้อ่านนะครับ
ผมก็เริ่มต้นชีวิตการลงทุนคล้าย ๆ กับคนส่วนใหญ่ที่เป็นนักลงทุนของตลาดนั่นแหละครับ เริ่มจากการเป็นแมงเม่ามาก่อน ปีกสองข้างยับเยินมาแล้ว บางครั้งถูกฟืนไฟเผาไหม้จนต้องทั้งซ่อม ทั้งดามกันมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็รอดมาได้ถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่ด้วยใคร แต่ด้วยการเรียนรู้ และแก้ไขข้อผิดพลาดของตนเอง
ถึงตอนนี้ ขอให้จำฝังใจ กันไว้เลยนะครับว่า "ความผิดพลาด หรือ ความล้มเหลว คือ บทเรียนที่ดีที่สุด"
นักลงทุนหลายคนเวลา “ได้” ก็จะกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่ครั้นพอ “เสีย” ก็จะตีโพยตีพาย โทษโน่นโทษนี่ ไม่รู้จักมองตัวเอง ผมเจอคนประเภทนี้บ่อยครับ ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร มันคล้ายเป็นบุคลิกปกติของคนในตลาดหลักทรัพย์ไทย ก็ได้แต่เตือนสติกันไป
ประโยคอมตะที่นักลงทุนรู้กันคือ “การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดใช้วิจารณญาณก่อนตัดสินใจ” แต่ชีวิตจริงมันไม่ค่อยใช้วิจารณญาณกันเท่าใดนัก จึงได้เกิดปัญหาไงล่ะครับ และนี่คือปัญหาโลกแตกที่ทุกตลาดหุ้นทั่วโลกไม่เคยมีใครแก้ได้ คนแพ้ คนชนะ ก็จึงยังคงปีนป่ายเวียนว่ายอยู่ในวัฏจักร ตราบทุกวันนี้
คนที่ผมกล่าวมาข้างต้นนี่แหละครับ ที่ตกเป็น “เหยื่อ” นัก “ปั่น” ได้ง่ายที่สุด หลงระเริงกับผลกำไร เวลาตัดสินใจลงทุน ก็ลงอย่างมุทะลุ บางทีถึงกับทุ่มสุดตัว เพราะเชื่อใน “ข่าว” ที่ได้รับมา กว่าจะรู้ตัว ก็โน่น ตอนติดดอยนั่นแหละ ต้องตัดขาดทุน (Cut Loss) หรือกัดฟันถือต่อ
ที่น่าสงสารก็คือ พวกที่มีเครดิต Margin Loan ครับ ไม่เพียงแค่ขาดทุน แต่ต้องวิ่งหาเงินชำระหนี้กันหูตูบเลยครับ พอไม่ไหวจริง ๆ ก็ต้องดำดินหนี บางคนถึงขั้นต้องล้มละลายก็มี ผมสลดใจกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับนักลงทุนเหล่านี้ พวกเขาส่วนใหญ่เป็นพวก High Risk High Return เหมือนผมเลย
แต่ด้วยปัจจัยบางอย่างทำให้ไม่สามารถสลัดตนให้พ้นจากบ่วงมหันตภัยทางการเงินไปได้ เอาเป็นว่าเราจะไม่กล่าวโทษซ้ำเติมก็แล้วกันครับ เป็นสัจธรรมที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางไปแล้ว เมื่อใดที่คุณตัดสินใจ คุณต้องยอมรับกับผลที่จะตามมา
กลับมาที่เรื่องสำคัญที่อยากให้นักลงทุนเรียนรู้สู้ระวังกันให้จงดี ก็คือ เรื่องการ “ปั่นหุ้น” ซึ่งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ไม่สามารถกวาดล้างให้หมดสิ้นไปได้สักที แม้ กลต.จะจ้องจับดำเนินคดีไปแล้วมากมาย ก็ไม่สามารถกำจัดให้สิ้นซากไปได้ มันยังคงเป็นเหมือนเชื้อมะเร็งที่เกาะกิน กัดเซาะความมั่นคงของตลาดหลักทรัพย์ไทยของเราตลอดมา
ผมมีข้อสังเกตในการดูขบวนการปั่นหุ้นที่เรียกกันให้ไพเราะในชื่อว่า “กระบวนการสร้างราคา" โดยจะขอแยกเป็นข้อ ๆ ให้จดจำกันได้ง่ายขึ้น ดังนี้
1. ส่วนมาก "หุ้นปั่น" มักเกิดกับหุ้นที่มีราคาบนกระดานหลักทรัพย์ต่ำ ๆ ราคาหุ้นที่ตราไว้ (Par Value) ก็ต่ำมาก
นักปั่นเลือกหุ้นประเภทนี้เพราะสามารถใช้เงินจำนวนไม่มากในการสร้างราคา ยังมีเหตุผลในทางจิตวิทยา คือเวลาที่ไล่ราคาขึ้นไป จะดูเหมือนว่าราคาที่ขึ้นไม่เยอะมาก เนื่องจาก 5 สตางค์เป็น 10 สตางค์ หรือ 1 บาทเป็น 2 บาท แม้จะขึ้นมาเป็น 100% แต่นักลงทุนก็ยังคงมองว่าราคาไม่แพงมาก
2. อีกประการหนึ่ง มักจะเลือกปั่นในหุ้นที่มีสภาพคล่องต่ำ ๆ
นั่นคือ มีจำนวนหุ้นที่ซื้อขายบนกระดานไม่มาก กรณีนี้พวกเขาจะสามารถควบคุมปริมาณทุนได้ กำหนดราคาให้เป็นไปในทิศทางที่ตนต้องการได้ ซึ่งเป็นทราบกันดีว่า หุ้นบางบริษัทที่มีสภาพคล่องน้อย แต่ราคาสูง เรียกว่าสูงเสียกว่ามูลค่าที่แท้จริงไปมากนั้น มักเกิดจากหลักธรรมดา คือ อุปสงค์ และ อุปทาน (Demand & Supply) หุ้นมีน้อย คนต้องการมาก ก็เป็นธรรมดาที่ราคาจะสูงขึ้น โดยเฉพาะเป็นหุ้นที่มีปันผลด้วย ก็จะมีคนกล้าซื้อ มีคนนิยมมาลงทุน แต่สังเกตกันให้ดีนะครับ นักปั่นหุ้นผู้ชาญฉลาด ก็สามารถเลือกใช้โอกาสสร้างราคาจนได้เหมือนกัน เช่น
(1) ปล่อยข่าวว่าผู้ถือหุ้นใหญ่จะขาย Big Lot ออกให้นักลงทุนกลุ่มใหญ่ที่มีความเข้มแข็งกว่า
(2) ถ้ากลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่มีมากกว่า 1 กลุ่ม ก็จะปล่อยข่าวว่า อีกกลุ่มกำลังจะเทคหุ้นเพื่อเข้าควบคุมการบริหาร และเปลี่ยนทิศทางบริษัทไปในทางที่ดีกว่าเดิม
(3) ผู้ถือหุ้นใหญ่กลัวถูกเทคโอเวอร์ (Take Over) เลยสร้างราคาเสียเองให้แพงไว้ เผื่อใครจะเข้ามาต้องจ่ายแพงมาก วิธีนี้ทำให้หุ้นส่วนใหญ่ที่ตนถืออยู่มีมูลค่าสูงเมื่อคำนวณเป็นมูลค่ารวม (Market Cap) สรุปว่าผู้ถือหุ้นใหญ่ปั่นเสียเอง หรือบางทีก็มีนักปั่นเข้ามาร่วมแจมด้วย และเขาฉลาดพอที่จะฉกฉวยในระยะสั้น
(ติดตามตอนต่อไป)
*******
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ "ปั้นหุ้น" ของคุณวิชัย ทองแตง เล่มล่าสุด (พฤศจิกายน 2558)