เปิดต้นปี 2564 ถือเป็นปีที่ดีสำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้น และถ้ายิ่งลงทุนในต่างประเทศด้วยแล้วจะได้รับผลตอบแทนอย่างโดดเด่นจากการทำ New High ของทั้ง 3 ตลาดใหญ่ คือ Dow Jones, Nasdaq และ S&P 500 ที่พากันปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงภาพรวมหุ้นในเอเชียต่างก็กำลังทำสถิติจุดสูงสุดใหม่
... แต่ทั้งนี้ เราก็ต้องเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า หุ้นขึ้นมาเยอะแล้วอาจจะมีจังหวะของการพักฐาน มีช่วงเวลาของการปรับตัวลง ซึ่งจะกินเวลานานหลายเดือน
ถ้าเราเจอสถานการณ์อย่างนั้นจริงๆ เราพอจะมีวิธีการปรับกลยุทธ์การลงทุนกันอย่างไรบ้าง และเราควรมองเป็นโอกาสในการหาหุ้นเข้าพอร์ตหรือไม่
== ระวังการปรับฐานของหุ้นอเมริกา ==
นาวิน อินทรสมบัติ Chief Investment Officer บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า การปรับเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯ นั้นหากพิจารณาในมุมของความถูกหรือแพง โดยประเมินจากอัตราส่วนกำไรต่อราคาหุ้น (P/E) ถือว่าค่อนข้างแพง โดยปัจจุบันค่า Forward P/E ของหุ้นสหรัฐฯ น่าจะอยู่ราว 20 กว่าเท่า ซึ่งค่อนข้างสูง และเริ่มกลับค่า P/E ในปี 2000 ซึ่งเป็นยุคฟองสบู่ดอตคอม
และการปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นการเพิ่มขึ้นแบบกระจุกตัวหมายความว่าความถูกแพงไม่ได้เท่ากันทุกบริษัท โดยในดัชนี S&P 500 ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาพบว่า หุ้น 5 อันดับแรกที่มาร์เก็ตแคปสูงสุด มีผลต่อดัชนีสูงถึง 26% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงสุดในรอบ 5-10 ปีย้อนหลัง
และหากพิจารณาในมุมของโมเมนตัมการสร้างผลตอบแทนจะพบว่า การปรับขึ้นของหุ้นสหรัฐฯ ครั้งนี้มีเหตุผลรองรับอยู่คือ ส่วนต่างของผลตอบแทนจากตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้น โดยปัจจุบันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาว (10 ปี) ที่อยู่ระดับ 1% กว่า เทียบกับผลตอบแทนจากตลาดหุ้นที่ระดับ 4% กว่า ทำให้เงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่อง
"ในส่วนของคำแนะนำลงทุนนั้น บลจ.กสิกรไทย ได้แนะนำให้นักลงทุนกระจายการลงทุนไปสู่ตลาดที่คุ้มค่ากับความเสี่ยงมากกว่า เช่น ตลาดหุ้นจีน โดยตลาดหุ้นจีนซื้อขายบนค่า P/E ราว 16-17 เท่า และกำไร บจ. คาดว่าจะเติบโต 15% จากปีที่แล้วที่ไม่มีการเติบโต ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซื้อขายบนค่า P/E 20-25 เท่าโดยประมาณ ส่วนกำไร บจ. ปีนี้ น่าจะเติบโต 25% จากปีที่แล้วที่ติดลบ 7%"
== แนะนำขายทำกำไรหุ้นอเมริกาบางส่วน ==
วิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.พรินซิเพิล กล่าวว่า โดยปกติแล้วเมื่อดัชนีทำนิวไฮ จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอีกระยะหนึ่ง จึงคาดว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในระยะสั้น ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อ
โดยการปรับขึ้นรอบนี้มาจากความคาดหวังเชิงบวกของนักลงทุนที่มีต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อาทิ แผนกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีมูลค่าสูง, การเติบโตของ GDP ในอัตรา 5%, การคงดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำ และการทำ QE อย่างไรก็ตาม ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ก็มีความเสี่ยงรออยู่เช่นกัน จึงมีความเป็นไปได้ที่ดัชนีจะปรับขึ้นได้ในระยะสั้นเท่านั้น
"แนะนำให้นักลงทุนที่มีการลงทุนในสหรัฐฯ ขายเพื่อทำกำไรบางส่วน และปรับมุมมองการลงทุนจากการลงทุนตามภูมิภาค เป็นลงทุนตาม Themetic โดยให้เน้นในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับเทคโนโลยี นวัตกรรม และการแพทย์ ซึ่งจะให้ผลตอบแทนที่มั่นคงกว่า"
== หุ้นจีนถือเป็นโอกาส ==
นายนาวิน อินทรสมบัติ ยังเปิดเผยอีกว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในปีที่ผ่านมา จีนถือเป็นประเทศที่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ทำให้เศรษฐกิจของจีนฟื้นตัวกลับมาได้ใกล้เคียงระดับปกติ โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าในปี 2564 เศรษฐกิจจีนจะเติบโต 8.1% ในขณะที่เศรษฐกิจโลกจะเติบโต 5.5%
"บลจ.กสิกรไทยมีมุมมองที่เป็นบวกต่อการลงทุนในหุ้นจีน จากปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีต่อเนื่อง โดยจีนเป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ประเทศเดียวที่กลับมาฟื้นตัวใกล้เคียงระดับปกติ ด้วยแรงหนุนจากอุปสงค์ทั้งในและนอกประเทศ โดยเฉพาะการเติบโตที่มาจากภายในประเทศ จากกลุ่มคนชั้นกลางของจีนกว่า 700 ล้านคนที่มีฐานะและกำลังซื้อมหาศาลที่พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รวมถึงรัฐบาลให้ความสำคัญกับการเติบโตระยะยาว เน้นลงทุนและวิจัย พัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อการเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี
นอกจากนี้ระดับราคาหุ้นจีนยังมีความน่าสนใจและ Earning Growth มีแนวโน้มเติบโตดี อย่างไรก็ตามต้องจับตานโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ที่มีต่อจีนในระยะถัดไป และมาตรการจากภาครัฐที่อาจเข้มงวดขึ้นหากเศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติในระยะข้างหน้า" นายนาวินกล่าว
-------------------------------
ขอบคุณแหล่งข้อมูล
The Standard Wealth