หลังจากที่ Standard Chartered ประกาศขาดทุน 139 ล้านเหรียญในไตรมาส 3 และทำการปลดพนักงาน 15,000 คน เราลองมาดูงบการเงินของ Standard Chartered กัน ว่ามีปัญหาตรงไหนบ้าง?
แม้ว่างบรายไตรมาสจะยังไม่ขึ้นบนเว็บไซต์ แต่ก็มีเอกสาร Interim Management Statement ออกมาให้ดูรายการของไตรมาส 3 ครับ เพื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยแบ่งเป็น 4 ส่วน
มาดูกันครับ ว่าแต่ละส่วน มีรายการอะไรที่มีปัญหามากที่สุด
1. งบกำไรขาดทุน
- รายได้รวมลดลงเหลือ 3,682 ล้าน จาก 4,515 ล้านเหรียญ ลดลงถึง 832 ล้านเหรียญ
- รายจ่ายที่เพิ่มขึ้นมากที่สุด คือ รายจ่ายที่เกิดจากหนี้ที่มีปัญหาเพิ่มเป็น 1,230 ล้านเหรียญ จาก 536 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นถึง 634 ล้านเหรียญ
- กำไรก่อนหักภาษีในปีนี้ ขาดทุน 139 ล้านเหรียญ จากปีก่อนที่กำไร 1,530 ล้านเหรียญ รวมแล้ว ลดลงถึง 1,669 ล้านเหรียญ
2. งบดุล
- เงินฝากลดลงเหลือ 366,551 ล้านเหรียญ จาก 388,795 ล้านเหรียญ ลดลงกว่า 22,244 ล้านเหรียญ
- หนี้เสีย หรือ NPL เพิ่มขึ้นเป็น 9,511 ล้านเหรียญ จากปีก่อนที่ 8,747 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นถึง 764 ล้านเหรียญ
3. รายได้แบ่งตามประเภทลูกค้า
- รายได้จากลูกค้าสถาบัน ลดลงเหลือ 2,096 ล้านเหรียญจาก 2,561 ล้านเหรียญ ลดลงกว่า 465 ล้านเหรียญ
- รายได้จากลูกค้ารายย่อย ลดลงเหลือ 1,261 ล้านเหรียญจาก 1,503 ล้านเหรียญ ลดลงกว่า 242 ล้านเหรียญ
4. รายได้แบ่งตามกลุ่มผลิตภัณฑ์
- รายได้จากผลิตภัณฑ์ตลาดการเงิน ลดลงเหลือ 645 ล้านเหรียญจาก 899 ล้านเหรียญ ลดลงกว่า 254 ล้านเหรียญ
- รายได้จากผลิตภัณฑ์ลูกค้ารายย่อย ลดลงเหลือ 979 ล้านเหรียญจาก 1,209 ล้านเหรียญ ลดลงกว่า 233 ล้านเหรียญ โดยรายได้ที่ลดลงมากที่สุด มาจากสินค้าพวก เงินกู้ส่วนบุคคล ที่ลดลงถึง 185 ล้านเหรียญ
หากดูจากงบโดยรวมแล้ว จะเห็นว่าปัญหานั้นเกิดจากทั้งรายได้ที่ลดลงกว่า 20% โดยเฉพาะจากกลุ่มสถาบันและรายย่อย รวมไปถึงหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก
และในรายงานประจำปี จะเห็นว่า ในช่วง 6 เดือนแรกมา รายได้ของธนาคาร แบ่งตามรายภูมิภาคแล้ว รายได้จากจีนแผ่นดินใหญ่นั้น มีสัดส่วนถึง 30% กว่าเลยทีเดียว
ยิ่งกว่านั้นหากลองแบ่งตามสัดส่วนของกำไรแล้ว จะเห็นว่าในช่วงครึ่งปีแรก “จีนแผ่นดินใหญ่” นั้น มีสัดส่วนของกำไรธนาคารถึง 60% กว่าเลยทีเดียว
ดังนั้น ในช่วงเดือนสิงหาคม ที่เกิดวิกฤตตลาดหุ้นจีน ธนาคารย่อมได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก
และจากในภูมิภาคทั้งหมด เอเชียใต้ เป็นภูมิภาคเดียวที่ธนาคารขาดทุนเกือบ 10% ในช่วง 6 เดือนแรก
แล้วก้าวต่อไป Standard Chartered จะทำอะไรต่อ?
ในเอกสาร Strategic Review ได้ระบุเป้าหมายไว้ 3 อย่าง
1. รักษารากฐานและความมั่นคง
หนึ่งในกลยุทธ์หลักก็คือ การจัดการแผนก ประเทศ หรือสินทรัพย์ที่ให้ ROE ต่ำ (หรือติดลบ) โดยการปรับโครงสร้าง (Restructure) ขายทิ้ง (Liquidate) หรือ ถอนตัว (Exit)
2. ปรับกลยุทธ์เพื่อการเติบโต
- เพิ่มทุนเพื่อปรับแผน โดยเปลี่ยนจากแผนเดิมที่ใช้เงินลงทุน 1,800 ล้านเหรียญ เป็น 2,900 ล้าน โดยให้ค่าใช้จ่ายถึงปี 2018 ลดลง
- เพิ่มการลงทุนในระบบดิจิทัลและระบบบริการลูกค้ารายย่อย
- ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อขยายตลาดในแอฟริกา
- ลงทุนและขยายเครือข่ายในบริการค่าเงินหยวน
3. ลงทุนและเสริมเทคโนโลยี
- เสริมระบบดิจิทัล เพื่อขยายตลาด Private Banking และ Wealth Management
- ลดค่าใช้จ่ายเอกสาร
- เพิ่มยอดขายออนไลน์
- เพิ่มความรวดเร็วในการทำธุรกรรม
- เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน
พอเห็นแบบนี้แล้ว แนวคิดที่ว่า “อย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว” และ "หมั่นตรวจสอบกลยุทธ์การลงทุนของเราเสมอ"
ไม่เพียงแต่คนทั่วไปเท่านั้น แม้แต่สถาบันยักษ์ใหญ่เองก็ควรมีการกระจายความเสี่ยงและตรวจสอบด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะในแง่ของลูกค้า ภูมิภาค หรือ ผลิตภัณฑ์
อย่างไรก็ตาม ต้องรอดูกันต่อไปนะครับ ว่ากลยุทธ์ใหม่ของ Standard Chartered จะช่วยแก้ปัญหาและเติบโตได้มากแค่ไหน
ส่วนรายย่อยอย่างเราๆ แม้จะวิเคราะห์และมั่นใจในหุ้นของเรามากแค่ไหน การศึกษาหาทางเลือกเผื่อไว้เพิ่มอีกซักนิด ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมอื่น หลักทรัพย์อื่น หลักทรัพย์ต่างประเทศ จะช่วยทำให้เงินของเราปลอดภัยยิ่งขึ้น
ยิ่งในปัจจุบัน ระบบดิจิทัล เข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้น ทั้งในชีวิตประจำวัน และ กับหุ้นที่เราถืออยู่ เราจึงควรศึกษาเพิ่มเติม ว่าเราจะรับมือกับผลกระทบจากระบบดิจิทัลอย่างไร หรือใช้ระบบให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไร
ไม่แน่ว่าคุณอาจพบโอกาสใหม่ๆในการลงทุน จากระบบเหล่านี้ก็ได้
ที่มาข้อมูล: Standard Chartered Investor Relation
Interim Management Statement http://goo.gl/VbrVax
Half Year Report 2015 http://goo.gl/PsMOY7
Strategic Review: http://goo.gl/BqULut