สรุป เนื้อหาที่เล่าในงาน บล.ฟิลลิป และคลิปย้อนหลังครับ
"Investing during global Uncertainty" ในงานสัมมนา Phillip Investment Forum 2021 ร่วมกับ คุณติยะชัย ชอง – กรรมการผู้จัดการ บลจ.ฟิลลิป และ คุณพิกุล พิทยาอิสรกุล – ผู้จัดการกองทุนส่วนบุคคล บล.ฟิลลิป
ความตั้งใจคือ อยากนำเสนอแนวคิดและกลยุทธ์การลงทุน เพื่อเป็นแนวทางแก่ผู้ลงทุนให้สามารถรับมือกับความไม่แน่นอนในยุคโควิด19 นี้ครับ
1️. Looking forward : ปีนี้แนวโน้มการลงทุนจะเป็นอย่างไร จะมีปัจจัยหรือความเสี่ยงอะไรบ้างที่ต้องจับตา
ผมคิดว่า ปัจจัยสี่ประการ ที่มีผลต่อการลงทุนในปี 2021 มากๆ คือ
หนึ่ง..สภาวะ ดอกเบี้ยต่ำ สภาพคล่องสูง
อันนี้คือนโยบายการเงินการคลังหลักที่หลายประเทศดำเนินมาอย่างเข้มข้น ซึ่งทั้งดอกเบี้ยต่ำและการอัดฉีดสภาพคล่องสูง เป็นบวกต่อสภาวะการลงทุนในหุ้น
สอง…วัคซีนพาโลกกลับมาสู่สมดุลเดิม
การพัฒนาวัคซีน มีผลต่อ sentiment การลงทุนมากครับ ในปีที่แล้ว ช่วงมีนาคม 63 ทั่วโลกเข้าสู่ช่วง Lockdown ปิดเมืองครั้งแรก ซึ่งส่งผลลบต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นแบบมหาศาล ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกก็ลดต่ำลงอย่างมากมาย ... ตัดภาพกลับมาที่ปีนี้มกราคม 2564 เรามีการ Lockdown กันอีกครั้งในหลายประเทศ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ดัชนีตลาดหุ้นไม่ได้ลงไปต่ำแบบมี.ค. 63 อีกนะ ยังคงยืนได้ ความต่างของ 2 เหตุการณ์คือ "วัคซีน" ที่ตอนนี้ มีวัคซีนที่พร้อมฉีดแล้วมากกว่า 4 ยี่ห้อหลัก และเริ่มฉีดกันหลายประเทศแล้ว
-> ซื้อหุ้นปีที่แล้ว(ไม่มีวัคซีน) จึงมาพร้อมความกลัว
-> ซื้อหุ้นปีนี้(มีวัคซีนแล้ว) จึงมาพร้อมความหวัง ว่าโลกจะกลับสู่สมดุลเดิมครับ
สาม...เปิดประเทศ เปิดการเดินทาง
ปัจจัยนี้ สำคัญมากกับประเทศไทย เพราะเรามีภาคการท่องเที่ยวที่ส่งผลมากกว่า 15% ของ GDP และมีแรงงานในระบบที่เกี่ยวเนื่องหลายล้านคนครับ มีการคาดการณ์กันว่า การเปิดประเทศจะเกิดขึ้นในหลายๆแห่งทั่วโลก เมื่อการรับวัคซีนมีจำนวนที่มากพอ ประมาณปลายปี 64 นี้ นั่นจะเป็นตัวเปิดการเดินทาง การขับเคลื่อนธุรกิจการท่องเที่ยว ที่สำคัญยิ่งยวดกับเศรษฐกิจไทย
สี่...การลงทุนภาครัฐและ EEC
ปีนี้ พระเอกที่จะผลักดัน GDP ไปได้ ยังคงเป็นการลงทุนภาครัฐ และการพัฒนาพื้นที่ EEC ตามแผน ผมทราบข้อมูลมาว่ามีนักลงทุนภาคอุตสาหกรรมทั้งในและต่างประเทศหลายแห่งที่รอการขยายการผลิตมายัง EEC หลังโควิดนี้ครับ
2️. กลยุทธ์การคัดเลือกสินทรัพย์หรือธุรกิจ เพื่อเข้าลงทุน/ จังหวะการเข้าลงทุน
สินทรัพย์เพื่อการลงทุนมี 3 ระดับเรียงจากเสี่ยงน้อยไปเสี่ยงมาก คือ
1, พันธบัตร ตราสารหนี้
2. กองทุนรีท(อสังหาฯ) กองทุนอินฟราฯฟันด์(โครงสร้างพื้นฐาน)
3. หุ้น
ผมมีความเชื่อว่า จุดต่ำสุดของตลาดหุ้นคือช่วงตกใจที่สุดจากวิกฤตโควิด คือเดือนมีนาคม 2563 ที่ผ่านมาแล้ว (SET ลงไปถึง 970 จุด) ซึ่งตลาดหุ้นจะเป็นตัวสะท้อนล่วงหน้าของภาวะเศรษฐกิจจริง ตลาดหุ้นเป็นตัวสะท้อนภาวะ 6-9 เดือนก่อนหน้าที่เศรษฐกิจจริงจะปรากฏ และตอนนี้ตลาดหุ้นก็กำลังมองภาพการฟื้นตัวในปีนี้แล้ว เป็นภาวะที่น่าสนใจและ selective buy ในการลงทุนครับ
3️. วิธีการหามูลค่าของสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อเลือกลงทุนในยุคปัจจุบัน
วิธีการวัดมูลค่าหุ้น ก็ยังคงหลักการ Fundamental ปัจจัยพื้นฐานเหมือนเดิมครับ เช่น วิธี DCF Discounted Cashflow, Price to Earnings, Price to Sale, หรือ Price to Book Value แต่ต้องยอมรับว่า ยุคโควิดทำให้การประเมินรายได้ และกำไรกิจการ ทำได้ยากขึ้น วิธีแก้ของผมคือ พยายามใส่สมมติฐานที่ใกล้เคียงความจริง เทียบกับปีฐานก่อนเกิดโควิด (2562)
เช่น ผมอาจจะประเมินมูลค่าหุ้นโรงหนัง ให้ผลประกอบการปี 64 ดีขึ้นกว่าปี 63 +50% และให้ปี 65 กลับมาใกล้เคียงปี 62 และรันอัตราการเติบโตด้วยค่าๆนึงจากนั้นไปเรื่อยๆ ก็จะคำนวณได้ครับ และเราอาจจะต้องกลับมาทบทวนสมมติฐานเรื่อยๆ ตามข้อมูลพัฒนาการจริงของกิจการที่ได้รับ
4️. มุมมองต่อตลาดหุ้นในแต่ละภูมิภาค มีโอกาสการลงทุนแตกต่างกันอย่างไร
ผมคิดว่าใน 3 ปีนี้ ... ตลาดหุ้นไทย มีโอกาสและน่าสนใจในการลงทุน เหตุเพราะว่าเรากำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว ลงทุนแนว Recovery Theme ได้ครับ
ในอนาคตระยะยาว คิดว่านักลงทุนต้องตระหนักถึงความสำคัญของการกระจายการลงทุนไปหลายสินทรัพย์หรือหลายภูมิภาค ไม่กระจุกตัวอยู่เฉพาะในประเทศไทยหรือสินทรัพย์ประเภทเดียวครับ เพราะก็ต้องยอมรับว่า หุ้นหรือกองทุนต่างประเทศ มีหุ้นเติบโตแนว Mega Trend อยู่จริง และควรจะมีการกระจายการลงทุนไปเช่นกัน
5️. มุมมองต่อตลาดหุ้นในแต่ละภูมิภาค มีโอกาสการลงทุนแตกต่างกันอย่างไร
ถ้าเป็นตลาดหุ้นต่างประเทศ ผมเชื่อใน 2 Theme ที่น่าสนใจ
หนึ่ง..Technology
ซึ่งจะเป็นกองทุน ETF ในแนสแดก ที่ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมทั่วโลก
สอง..Consumption
ประเทศที่ GDP เติบโตสูงกว่าเพื่อน และมีประชากรวัยหนุ่มสาวมาก การบริโภคในประเทศสูง เศรษฐกิจยังเติบโตได้อีก อย่าง ประเทศจีน และ ประเทศเวียดนาม
6️. Key Success ของการลงทุนในปี 2021
ในเชิงการลงทุน นอกจากเรื่องการเลือกหุ้น/เลือกกองทุน แล้ว ยังมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องคือ Asset Allocation (การจัดสรรสินทรัพย์เพื่อลงทุน) และการบริหารความเสี่ยง Risk Management เราควรต้องจัดสรร Asset ลงทุนให้เหมือนจัดทีมฟุตบอล ต้องมีทั้ง กองหน้า(หุ้น กองหุ้น) กองกลาง(เสี่ยงกลาง เช่น กองรีท กองอินฟราฯ) กองหลัง(เสี่ยงต่ำ เช่น ตราสารหนี้ พันธบัตร) ครับ
ซึ่งปัจจุบัน นักลงทุนไทยมีเครื่องมือต่างๆ ให้เลือกทั้งการลงทุนโดยตรง ผ่านกองทุนรวม หรือกองทุนส่วนบุคคล ซึ่ง บล. ฟิลลิป มีให้บริการครบ สามารถปรึกษา สอบถาม เรื่องกองทุน การเปิดพอร์ต หรือ การลงทุนต่างประเทศได้ครับผม