ในตลาดหุ้นไทย ธุรกิจประกันมักเป็นกลุ่มที่ไม่ค่อยพูดถึงกันเท่าไรนักในหมู่นักลงทุน อาจจะเป็นเพราะว่าโครงสร้างการเงินที่ซับซ้อน อ่านงบการเงินยาก เข้าใจยาก รวมถึงคาดเดารายได้ไม่ง่ายเหมือนธุรกิจประเภทอื่นๆ
.... แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าหลังวิกฤต COVID-19 ธุรกิจประกันถือเป็นกลุ่มที่น่าจับตา และในระยะยาว คนรวยขึ้น ก็อยากมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น การทำประกันจึงเป็น MegaTrend ที่ยังเติบโตได้อีกมาก
แต่การวิเคราะห์หุ้นประกันเป็นเรื่องยาก
ประเด็นคือเราพอจะมีวิธีวิเคราะห์หุ้นกลุ่มประกันแบบง่ายๆได้บ้างไหม ?
นี้เป็น 3 ข้อต้องรู้ก่อนจะลงทุนหุ้นประกัน และสามารถนำไปใช้ต่อยอดได้ครับ มีอะไรบ้างมาดูกัน
1. วิเคราะห์แหล่งรายได้ของบริษัท
โดยทั่วไปธุรกิจประกัน แบ่งเป็น 2 กลุ่มธุรกิจ คือ
>> ประกันชีวิตที่เน้นคุณครองชีวิต ประกันสุขภาพ ประกันส่วนบุคคล
>> ประกันวินาศภัย ประกันทรัพย์สิน เช่น บ้าน รถ เป้นต้น
ซึ่งแต่ละแบบ ก็จะมีวิธีคิดแตกต่างกัน แต่หลักๆแล้วเราต้องดูด้วยว่าแหล่งรายได้หลักของบริษัทมาจากไหน ..
โดยธรรมชาติแล้วการขายประกันเป็นเรื่องซับซ้อน ดังนั้นลูกค้าส่วนใหญ่จึงเลือกซื้อประกันผ่านธนาคาร หรือตัวแทนที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญมากกว่า แต่ช่วงหลังมานี้ การขายผ่านธนาคารเติบโตขึ้นมาก เรามักจะเรียกว่า Bancassurance
... อย่างเช่นกรณีของ BLA ที่มีรายได้หลักมาจากการขายผ่าน Bancassurance สูงถึง 60% จึงไม่แปลกใจว่า การเซ็นสัญญาระหว่างธนาคารกรุงเทพและ AIA จะกระทบต่อราคาหุ้น BLA เพราะเท่ากับว่าธนาคารกรุงเทพจะลดสัดส่วนการขาย BLA ลงเพื่อไปขาย AIA นั้นเอง
2. สาเหตุของการเติบโต
การจะดูว่าหุ้นประกันตัวไหนโตหรือไม่โต ต้องอาศัย 3 ปัจจัยหลัก คือ
2.1 เบี้ยประกันภัยรับปีแรก (First Year Premium หรือ FYP)
คือการจ่ายเบี้ยปะกันในปีแรกของผู้ทำประกัน ยิ่งเพิ่มขึ้นทุกปีจะยิ่งดีมาก แต่ถ้าลดน้อยลงก็พอจะเดาได้ว่าปีหน้ารายได้อาจจะเริ่มมีปัญหา กำไรอาจจะลดลง เพราะเบี้ยรับประกันภัยในปีถัดไปลดน้อยลงตาม
2.2 เบี้ยประกันภัยรับปีต่อไป (Renewal Year Premium)
คือ เบี้ยประกันภัยที่ผู้ทำประกันภัยส่งเบี้ยต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เป็นต้นไป จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับประเภทของการขาย หรือกลยุทธ์ของบริษัท ซึ่งถ้าเราเอาข้อที่ 2.1 และ 2.2 มารวมกัน จะเรียกว่าเบี้ยประกันภัยรับสุทธิ
2.3 รายได้จากการลงทุน
นี้เป็นหัวข้อที่คาดเดาได้ยากที่สุด เพราะเป็นเรื่องของกำไร ขาดทุนในการลงทุน มีการปรับมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ในทุกๆปี ถ้าปีไหนหุ้นตก รายได้จากการลงทุนก็มีแนวโน้มลดลง แต่ถ้าปีไหนหุ้นขึ้น ปันผลเพิ่มขึ้น รายได้จากการลงทุนก็จะเพิ่มขึ้น นั้นเอง
แต่ในธุรกิจประกัน การลงทุนสัดส่วนหลักจะเป็น Bond หรือพันธบัตรภาครัฐเป็นสัดส่วนขนาดใหญ่เนื่องจากสร้างกระแสเงินสดได้ดีกว่า ความเสี่ยงต่ำกว่าการลงทุนในตลาดทุน กองอสังหาริมทรัพย์
ดังนั้นผู้ลงทุนก็ไม่ควรกังวลกับมันมากจนเกินไป จนมองข้ามธุรกิจประกัน ไปครับ
3. อัตราส่วน Combined Ratio
คือ อัตราต้นทุนต่อรายได้ประกันชีวิตรับสุทธิ ... ซึ่งคำนวนจาก
Combined Ratio = (ค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการประกัน + การตั้งสำรอง) / รายได้จากการประกัน
เมื่อได้ตัวเลขเท่าไร เอาไปคูณด้วย 100
ถ้า Combined Ratio > 100 หมายความว่าธุรกิจประกันกำลังขาดทุน เนื่องจาก ค่าใช้จ่ายสูงกว่าเบี้ยรับ
ถ้า Combined Ratio < 100 หมายความว่าธุรกิจไปได้ดี มีกำไร เนื่องจาก ค่าใช้จ่ายน้อยกว่าเบี้ยรับ นั้นเอง
การวิเคราะห์ Combined Ratio สำคัญมาก แต่ในความเป็นจริงธุรกิจประกันไม่ได้ขายประกันอย่างเดียว จะมีเรื่องของกำไรจากการลงทุนด้วย เมื่อเอากำไรจากการลงทุนมารวมเข้าไป จะกลายเป็นกำไรสุทธิ นั้นเอง
นี้ก็เป็น 3 ข้อต้องรุ้ก่อนลงทุนหุ้น "ประกัน" ที่เราจำเป็นจะต้องเข้าใจก่อนซื้อครับ