บทความโดย: บูม MoneyCrown / FB: MoneyCrown
สถาบันการเงินประจำพอร์ทของ Warren Buffett ที่ถูกจัดอันดับว่าดีที่สุดในโลก - Wells Fargo
Wells Fargo (WFC:US) เป็นธนาคารที่มีมูลค่าตลาด 2.8 แสนล้านดอลล่าร์ หรือประมาณ 9.2 ล้านล้านบาท ซึ่งใหญ่กว่ามูลค่าสูงสุดของธนาคารพาณิชย์ของไทยทั้ง 3 อันดับอย่าง BBL,KBANK, SCB ถึงประมาณ 20 เท่า และมีมูลค่าสูงกว่ามูลค่าทางตลาดรมของทุกสถาบันการเงินของไทยรวมกัน
WFC ถูกจัดอันดับโดย Barron ให้เป็นสถาบันการเงินที่ดีที่สุดในโลก และได้รับการจัดอันดับจาก Moody’s ด้วยเรทติ้งสูงที่สุดคือระดับ AAA เพราะความสามารถในการทำกำไรที่ดีกว่าอุตสาหกรรมโดยรวมของอเมริกาและการบริหารจัดการความเสี่ยงที่ดี ทำให้ WFC ซื้อขายกันที่ระดับ Valuation สูงกว่าธนาคารอื่นๆชั้นนำของอเมริกาและทั่วไปของโลก อยู่ที่ระดับ P/E = 13 เท่า
เรามาทำความเข้าใจจาก WFC กันดีกว่าครับว่า ธนาคารที่ได้เรทติ้งระดับ AAA และถือได้ว่าดีที่สุดในโลกนี้เค้าดูกันยังไง
1. Net interest margin อยู่ในระดับสูงและสูงกว่าอุตสาหกรรมโดยรวม
Net interest margin (NIM) พูดง่ายๆก็คือ ส่วนต่างของดอกเบี้ยที่ธนาคารได้รับจากการปล่อยสินเชื่อกับดอกเบี้ยที่ธนาคารต้องจ่ายกับลูกค้าที่ฝากเงินไว้กับธนาคารนั่นเองครับ ยิ่งธนาคารมี NIM สูง ความสามารถในการทำกำไรก็สูง ก็จะยิ่งสร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นอย่างดีเยี่ยม
WFC นั้นมี NIM สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมมาตลอด และขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 3.25% แล้วจะทำให้ NIM สูงทำได้อย่างไร? ก็เพียงปล่อยกู้ที่ดอกเบี้ยสูงและให้ดอกเบี้ยเงินฝากต่ำๆนั่นเอง
WFC ทำได้ครับ เพราะธนาคารมีอำนาจมากพอที่จะตั้งดอกเบี้ยสูงกว่าคู่แข่งและลูกค้าก็ยอมกู้ นอกจากนี้ลูกค้าที่ฝากเงินกับ WFC ก็มีการเปลี่ยนไปใช้ธนาคารอื่นที่ต่ำ เพราะ WFC มีการบริหารความสัมพันธ์ที่ดีและมีเครือข่ายของสาขาที่แข็งแกร่ง ดังนั้นลูกค้าก็ยังอยู่กับ WFC ต่อไป
2. WFC เก่งมากเรื่องลดต้นทุน
WFC มีผู้บริหารที่ Buffett ยอมรับว่าให้ความสำคัญกับการลดต้นทุนดีที่สุดคนหนึ่งในอเมริกา ซึ่ง WFC มีการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อให้สามารถลดต้นทุนการบริการลูกค้าในสาขาลงซึ่งเป็นต้นทุนสูงที่สุดในทุกๆช่องทาง บริษัทผลักดันให้มีการใช้ Internet Banking เข้ามาแทนรูปแบบที่เน้นบริการในสาขาให้มากขึ้น ทำให้ลูกค้าทำธุรกรรมได้ทุกที่ทุกเวลา และยังลดต้นทุนค่าพนักงานในสาขาลงไปได้มาก หากไปเดินชมสาขาของ WFC ในเมือง New York จะเห็นขนาดสาขาของ WFC ที่เล็กลงๆ และมีพนักงานให้บริการน้อยกว่าคู่แข่งมาก ในอนาคตข้างหน้า WFC อาจกลายเป็นผู้นำใน Internet Banking อย่างแท้จริง
3. WFC มีรายได้ที่มีสมดุลระหว่างรายได้จากดอกเบี้ยและรายได้จากค่าบริการ (Fee-based income) มากที่สุด
WFC เป็นธนาคารเดียวที่มีฐานรายได้กระจายถึง 50/50 ระหว่างรายได้ที่มาจากดอกเบี้ย (Interest Income) และรายได้ที่ไม่ได้มาจากดอกเบี้ย (Non-interest Income) ข้อดีของสัดส่วนที่สมดุลแบบนี้ก็คือ ธนาคารจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าในเวลาที่เศรษฐกิจเป็นขาลง นั่นคือเป็นช่วงเวลาที่ นอกจากจะปล่อยสินเชื่อที่น้อยแล้ว อัตราดอกเบี้ยที่ตำ่ลงด้วย แต่รายได้ที่มาจากค่าบริการในการทำธุรกิจต่างๆยังคงมาช่วยพยุงผลประกอบการณ์ไม่ให้ลดตำ่ลงได้ WFC แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในจุดนี้แล้ว เมื่อปี 2010 - 2014 เศรษฐกิจของสหรัฐยังคงไม่ฟื้นต้วดีนัก รายได้ของ WFC คงตัวและลดลงเล็กนัอย แต่กำไรของกลับเพิ่มขึ้นทุกปี และอัตรากำไรสุทธิกลับสูงขึ้นเรื่อยๆจาก 16% ปี 2010 มาสูงถึง 27% ในปี 2014 แสดงถึงการทำงานของรายได้จากค่าบริการที่กำไรดีกว่า และการลดต้นทุนของผู้บริหารได้ยอดเยี่ยมครับ
ขอบคุณภาพจาก onthestreet.com, cheatsheet.com, business insider, LA times
4. WFC มีฐานลูกค้ากว้างและมีส่วนแบ่งตลาดสูง
WFC มีฐานลูกค้าที่นำเงินมาฝากสูง ด้วยจำนวนสาขาที่มาก และความสามารถรักษาลูกค้าได้แม้จะจ่ายดอกเบี้ยเงินฝากต่ำ จุดนี้เป็นการทำให้รายได้จากค่าบริการฝาก/ถอน ค่าบริการบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) ค่าบริหารจัดการกองทุน และอื่นๆสามารถเก็บได้มาก แต่จ่ายออกต่ำ กำไรจึงสูง นอกจากนี้ WFC ยังมีส่วนแบ่งตลาดสูงสุดวัดกันที่สินเชื่อรถยนต์และสินเชื่อเพื่ออสังหาริมทรัพย์อีกด้วย
5. WFC รักษาพนักงานให้ทำงานกับบริษัทได้ยาวนาน นำมาซึ่งยอดขายจากลูกค้าที่มากขึ้น
WFC สร้างความพึงพอใจกับพนักงานที่ทำงานด้วยได้ในระดับสูง พนักงานระดับ office manager ทำงานกับบริษัทเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 10 ปี ยิ่งพนักงานอยู่กับ WFC นานเท่าไหร่ ก็ยิ่งสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ยาวขึ้นเท่านั้น และทำให้การขายสินค้าและบริการทางการเงินทำได้หลากหลายด้วยต้นทุนที่ต่ำลงมากขึ้นอีกในระยะยาว
นักลงทุนไทยสามารถร่วมเป็นเจ้าของสถาบันการเงินที่ดีที่สุดอย่าง Wells Fargo ซึ่งลิสต์อยู่ในตลาดหุ้น New York ด้วยชื่อย่อหุ้น WFC ได้โดยใช้บัญชี global trading กับธนาคารหรือโบรกเกอร์ชั้นนำของเมืองไทย
#MoneyCrown
ติดปีกความรู้เรื่องหุ้น ไม่พลาดสิ่งที่คุณต้องรู้
ติดตาม LINE@stock2morrow