คำถามที่นักลงทุนถามกันมากที่สุด คือ เราพอจะมีวิธีการดูหุ้นตัวไหนถูก หรือหุ้นตัวไหนแพง ได้บ้างไหม ?
... เอาจริงๆก็ต้องบอกว่า ไม่มีใครรู้จริง 100%
ถ้าช่วงที่ตลาดเป็นกระทิง -- หุ้นตัวไหนๆก็ดูเหมือนจะถูกไปซะหมด เพราะมันวิ่งทุกตัว
ถ้าช่วงที่ตลาดเป็นหมี -- หุ้นทุกตัวก็ดูเหมือนจะแพงไปหมด เพราะมันลงทุนตัว
วิธีนี้เราใช้ "อารมณ์" เป็นตัวกำหนดความถูกแพง ความโลภและความกลัว
แต่ในฐานะนักลงทุนพันธุ์แท้ ถ้าเราสามารถก้าวข้ามสภาวะทางอารมณ์ได้แล้ว มันพอจะมีวิธีการดูหุ้นถูก หุ้นแพง ได้หรือไม่
... มีคำแนะนำ 4 ข้อ ที่นักลงทุนควรนำมาคิดเสมอ แบบนี้ครับ
ข้อแรก ดูค่า P/E หรือ ราคาหุ้นเทียบกับกำไรต่อปี เป็นเท่าไร
พูดง่ายๆคือหุ้นแพงเป็นหุ้นที่มีค่า PE สูง และหุ้นถูกเป็นหุ้นที่มีค่า PE ต่ำ เราหลีกหนีทฤษฏีข้อนี้ไม่ได้จริงๆ เพราะในภาพของการลงทุนแล้ว การลงทุนที่จะให้ได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว เราจำเป็นจะต้อง "ซื้อ" ธุรกิจ ที่มีคุณภาพในราคาที่ไม่แพง ถ้าเราซื้อแพงเกินไปย่อมไม่ใช่การลงทุนที่ดี
บางคนอาจจะคิดว่า การนำค่า P/E มาเป็นปัจจัย นั้นเป็นเรื่องของยุคเก่า ยุคปัจจุบันเขาไม่ใช้กันแล้ว มันเป็นวิธีที่ไม่มีประสิทธิภาพ มันล้าสมัย แต่แนวคิดนี้จะพูดคุยกันในช่วงที่ตลาดเป็น Bullish แต่พอช่วงที่ตลาดลง แนวคิดนี้ก็หายไป ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องของ "อารมณ์" มากกว่าที่จะบอกว่าค่า P/E ใช้ไม่ได้จริงๆ
ประเด็นสำคัญ คือ หุ้นแบบไหนเป็นหุ้นที่ควรจะแพง (สามารถมีค่า P/E สูงได้) และหุ้นแบบไหนเป็นหุ้นที่ควรจะถูก (สามารถมีค่า P/E ต่ำได้) มันเป็นเรื่องที่อธิบายได้ยาก ต้องใช้จินตนาการและประสบการณ์ที่มากพอสมควรในการมองธุรกิจ
... แต่ถ้าจะให้อธิบายสั้นๆ คือ ธุรกิจนี้มี Growth หรือการเติบโตมากแค่ไหน และบริษัทจะยังรักษา Growth ไปอีกได้นานไหม เพราะอย่าลืมว่า ปีนี้เติบโตมาก ยิ่งเป็นการเชิญคู่แข่งให้เข้ามา ปีถัดไปก็อาจจะเจอสงครามราคา การเติบโตก็จะไม่เท่าเดิม
ข้อที่สอง คุณภาพของกิจการยังดีไหม ควบคู่ไปกับสถานะภาพทางการเงิน ตัวอย่างเช่น หุ้นรับเหมาที่รายได้คาดเดาได้ยาก อาจจะต้องมีค่า P/E ต่ำกว่าหุ้นสาธารณูปโภค ที่มีรายได้ประจำ เช่น หุ้นโรงไฟฟ้า หรือหุ้นที่มีธุรกิจโรงแรมอย่างเดียว อาจจะต้องให้ Valuation ต่ำกว่าหุ้นที่มีทั้งโรงแรมและอาหาร เป็นต้น
ควบคู่ไปกับการดู "งบดุล" หรือฐานะทางการเงินของบริษัทว่าเป็นอย่างไร มีหนี้สินเยอะมากแค่ไหน มีปัจจัยเสี่ยงที่จะโดนเพิ่มทุนหรือไม่ กำไรขั้นต้นมีความคงที่ไหมในอดีตที่ผ่านมา ถ้าบริษัททำธุรกิจแล้วมาร์จิ้นบางมาก ก็อาจจะต้องมี Valuation ที่ต้องต่ำกว่า เป็นต้น
ข้อที่สาม "ปันผล" เป็นอย่างไร เหตุผลคือ ถ้าบริษัทจ่ายปันผลที่เหมาะสม ทำให้ผู้ถือหุ้นได้เงินสดไปใช้ ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนชอบมากกว่า และยอมถือมันได้ และยิ่งบริษัทกำไรดีขึ้น ปันผลมากขึ้น มูลค่าสูงขึ้น ก็จะมีใครสักคนมายอมจ่ายแพงซื้อหุ้นต่อจากเรา พูดง่ายๆคือยอมให้มีค่า P/E สูงขึ้นนั้นเอง
แต่เรื่องของการปันผลนั้น บางทีก็เป็นเรื่อง "ลวงตา" เราได้ เช่น มีกำไรพิเศษเลยจ่ายเยอะ ทำให้ข้อมูลที่เราเห็นออกมาดูดี แต่พอปีหน้าไม่มีกำไรพิเศษแล้ว ก็กลับมาจ่ายน้อย นั้นจึงเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม ว่าทีผ่านมาบริษัทมีเหตุการณ์พิเศษอะไรมาบ้าง
ข้อที่สี่ คืออัตราดอกเบี้ยในท้องตลาด ถ้าอัตราดอกเบี้ยต่ำ เงินฝากแบงก์ให้ดอกเบี้ยน้อย นักลงทุนก็จะให้มูลค่าหุ้นที่มี P/E สูงขึ้นได้ แต่ถ้าเงินฝากแบงก์ให้สูง นักลงทุนบางส่วนก็อาจจะมองว่าลงทุนในหุ้นไม่คุ้ม เอาเงินมาฝากแบงก์ไว้เฉยๆคุ้มกว่า
ข้อสุดท้ายเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัท แต่เป็นเรื่องของสภาวะทางเศรษฐกิจโดยรวม ดังนั้นนักลงทุนจำเป็นจะต้องติดตามเศรษฐกิจของประเทศด้วยเช่นกัน
โดยสรุปแล้ว เราพอจะมีวิธีการดูหุ้นถูก หรือหุ้นแพงอยู่บ้าง แต่นั้นก็เป็นเพียงคำแนะนำที่พอจะ "ประเมิน" เบื้องต้นได้ สิ่งสำคัญคือ เราต้องเข้าใจในสิ่งที่เราจะลงทุนเป็นอย่างดีครับ