หุ้นผู้ชนะในโลกหลังปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งต่อไปในยุค Machine Age
บทความโดย: บูม MoneyCrown / FB: MoneyCrown
หนึ่งในโอกาสการลงทุนที่ยอดเยี่ยมของโลกที่ผ่านมานั้น มาจากช่วงหลังจบสงครามโลก หรือการเริ่มต้นของยุคสมัยปฏิวัติอุตสาหกรรม เหมือนที่ Sir John Templeton มองเห็นโอกาสการลงทุนในญี่ปุ่นก่อนใคร ทั้งๆที่แทบทั้งโลกเชื่อว่าจะลงทุนไปทำไม...กับประเทศผู้แพ้สงครามโลก
สำหรับญี่ปุ่น หรือ อังกฤษ ผู้มีส่วนในการปฏิวัติอุตสาหกรรมจากเครื่องจักรไอน้ำที่ผ่านมา จะเป็นการใช้เทคโนโลยีมาปรับปรุงกระบวนการผลิตแบบ Mass ในโรงงาน การใช้เทคโนโลยีเข้ามาทำให้ระบบการขนและกระบวนการผลิตให้มีผลิตผลสูงขึ้น และยังคงมีการใช้ "คน" เข้ามาเกี่ยวข้องกับหลายๆกระบวนการจากต้นน้ำไปยังปลายน้ำของสายการผลิต
แต่ในยุคต่อไปหลังจากนี้ การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งต่อไปคงไม่ใช่รูปแบบเดิมอีกต่อไปแล้ว เพราะการเกิดขึ้นของเทคโนโลยีที่มีศักยภาพสูงมากอย่าง อินเทอร์เน็ต Artificial Intelligence (เปรียบเหมือนสมองของหุ่นยนต์) Biotechnology หรือ กระบวนการผลิตแบบใหม่ที่มีความแม่นยำสูงมากอย่าง 3-D Printing สังคมในมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านเทคโนโลยีของโลกอย่าง Massachusetts Institute of Technology (MIT) นั้นได้มีการคุยกันมานานแล้วถึงบทบาทของมนุษย์ที่จะลดลง เป็นการต้อนรับการมาถึงของยุคสมัยของหุ่นยนต์อย่างแท้จริง
ในมุมมองของนักลงทุนไทยอย่างเรา คงจะอยากรู้ว่า "ใคร" น่าจะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มากที่สุด คงต้องขออนุญาตกล่าวถึงกลุ่มของบริษัทที่ดูมีความเป็นไปได้สูงสุด ในแง่ของประเภทของเทคโนโลยี, ทรัพยากรทางการเงิน, ฐานลูกค้า, พลังในการดึงดูดทรัพยากรมนุษย์ที่เก่งกาจไปร่วมทำงานด้วย และที่สำคัญคือ วิสัยทัศน์และความทะเยอทะยานที่จะเปลี่ยนแปลงโลกของผู้นำองค์กร
1. Alphabet (GOOGL) บริษัทแม่ของ Google (GOOG)
Alphabet เป็นบริษัท Holdings ที่สร้างขึ้นมาให้ Google สามารถโฟกัสกับธุรกิจหลักอย่าง Search Engine ในขณะเดียวกันก็สามารถศึกษาวิจัยโปรเจคที่มีศักยภาพสูงมากที่ไม่เคยมีมาก่อนด้วยเทคโนโลยีได้ ที่ออกสื่อชัดเจนที่สุดดูจะเป็นบริษัท Google X ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทลูกของ Alphabet โดย Google X มีโปรเจคที่มีศักยภาพสูงอย่าง
1.1 รถยนต์ไร้คนขับ (Self-driving car)
- มีศักยภาพลดบทบาทหรือทำลายอุตสาหกรรมประกันรถยนต์ อุตสาหกรรมสื่อกระจายเสียงทางโทรทัศน์ อุตสาหกรรมสื่อโฆษณานอกอาคาร หรือแม้กระทั่งอุตสาหกรรมการแพทย์
- มีศักยภาพสร้างโอกาสธุรกิจสำหรับอุตสาหกรรมสื่อมัลติมีเดียแบบ on-demand ที่ดูได้ทาง online อุตสาหกรรมการตลาดแบบดิจิตอล (Digital Marketing) อุตสาหกรรมผู้ผลิตชิ้นส่วนที่จำเป็นอย่าง เซ็นเซอร์สำหรับรถยนต์ไร้คนขับ และอีกมากมาย
1.2 โดรนส่งของทางอากาศ (Project Wing)
- มีศักยภาพลดบทบาทอุตสาหกรรม logistics ทางบกหลายรูปแบบ เช่นการส่งของโดยใช้คนขับรถจักรยานยนต์ แต่ project นี้ยังคงต้องเจอความท้าทายของเรื่องความปลอดภัยของสินค้าที่ขนส่ง และเรื่องของกฏหมายการใช้โดรนบนอากาศต่อไป
1.3 การสื่อสารแบบไร้มือ (Project Glass)
- มีศักยภาพทำลายล้าง smartphone ให้หายไปจากวงจรการสื่อสาร ที่ผ่านมาคงมี Google glass ที่เราเริ่มเห็นเป็นรูปร่างมากขึ้น แม้จะไม่ประสบความสำเร็จในรอบแรก ที่โปรเจคนี้มีความเป็นไปได้ เพราะมีเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่สามารถเรียนรู้ภาษามนุษย์ Natural Language Processing (NLP) ผ่านทางเสียง (Siri บน iPhone เป็นตัวอย่างหนึ่ง) เป็นตัวขับเคลื่อนให้เราสามารถสื่อสารกันได้โดยไม่ต้องใช้มืออีกแล้วในอนาคต
นอกจากนี้ Alphabet ยังมีบริษัทลูกที่น่าสนใจอย่าง
1.4 Calio และ Google Life Sciences เป็นแขนหนึ่งของ Alphabet ที่จะสร้างการเติบโตของเทคโนโลยี Biotech เป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ซึ่งจะมีศักยภาพทำให้ชีวิตคนยืนยาวมากยิ่งขึ้นและป้องกันการเกิดโรคภัยไข้เจ็บในปัจจุบันแบบถาวรมากขึ้น
- มีศักยภาพลดบทบาทของโรงพยาบาล หรือความจำเป็นที่ต้องมีบุคลากรทางการแพทย์ก็อาจจะลดน้อยลง เพราะความเจ็บป่วยหรืออายุไขของคนสามารถทำให้ดีขึ้นได้ในระดับยีนและนวัตกรรมใหม่ๆที่เปลี่ยนแปลงคนไปได้แบบถาวร รวมถึงการใช้เทคโนโลยีแบบ Telemedicine คือสามารถให้คำแนะนำทางการแพทย์ระยะไกลโดยไม่ต้องไปถึงโรงพยาบาลได้
แม้ว่ารายได้ส่วนใหญ่ของ Alphabet จะยังมาจาก Google แต่สิ่งที่บริษัทลูกทั้งหมดกำลังทำอยู่มีศักยภาพสูงมากที่จะทำประโยชน์กับโลกมากมาย หากบริษัทลูกสามารถทำได้สำเร็จ Alphabet น่าจะเป็นหนึ่งในบริษัทที่จะเป็นผู้นำการปฏิวัติในยุคเทคโนโลยีครั้งต่อไป
2. Amazon, Microsoft, Salesforce, Google และ IBM
ทุกบริษัทที่กล่าวมานี้จับธุรกิจที่จะเป็นอนาคตของวงการ ICT อย่าง Cloud Computing (เรียกสั้นๆว่า Cloud) เรียบร้อยแล้ว
Cloud นั้นอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆครับว่า มันคือการให้บริการบริหารจัดการระบบ IT จากจุดศูนย์กลางคือผู้ให้บริการ โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องลงทุนซื้อทรัพยากรเอง อย่าง คอมพิวเตอร์เมนเฟรมที่มีราคาสูง มันคือการมองเห็นอนาคตว่า ทุกธุรกิจต้องแข่งขันกันตัดสินใจบนข้อมูลของลูกค้าที่ล้นตลาดอยู่ในขนาดนี้ แต่ทำอย่างไรจะช่วยลดภาระต้นทุนและการหาคนที่เข้าใจระบบ IT ที่ลึกซึ้งมานั่งในบริษัท ผู้ให้บริการ Cloud คือคำตอบนั้น
ทำไมมันคือ Cloud? เพราะเราไม่จำเป็นต้องสนใจว่าฝั่งผู้ให้บริการเค้ามีระบบ มีทรัพยากรอะไรบ้าง เพียงแต่เรา ผู้ใช้บริการสามารถทำทุกอย่างเหมือนมีทรัพยากรเองได้ เราจึงให้ "ก้อนเมฆ หรือ Cloud" เป็นชื่อเรียกรวมแทนความคลุมเครือของทรัพยากรอีกฝั่งนึงก็แล้วกัน แล้วเราก็ไม่จำเป็นต้องรู้ เพราะเรามีคนดูแลให้สามารถทำงานได้
จากตัวเลขผลประกอบการที่เปิดเผยออกมา พบว่าบริการ Cloud Computing ของ Amazon Web Services (AWS) ทำรายได้ปีกว่า 6 พันล้านเหรียญ ซึ่งสูงกว่าตัวเลขของคู่แข่งอย่าง Microsoft, Salesforce, Google และ IBM รวมกัน!
การเติบโตของตลาด Cloud นี้ไม่ใช่น้อยๆ จากไตรมาส 1 ปี 2014 มาไตรมาส 1 ปี 2015 ผลประกอบการรายได้ของธุรกิจ Cloud ของทั้ง 5 บริษัทมีดังนี้ :
1. Amazon (AMZN:US) เติบโต 49%
2. Google (GOOG:US) เติบโต 74%
3. Microsoft (MSFT:US) เติบโต 96%
4. Salesforce (CRM:US) เติบโต 34%
5. IBM (IBM:US) เติบโต 56%
และนี่...คือจุดเริ่มต้นของตลาด Cloud เท่านั้นนะครับ
บริษัททั้งหมดนี้เป็นเพียงภาพฉายส่วนหนึ่งของผู้ที่อาจจะเป็นผู้นำการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งถัดไปของโลก
ในประเทศไทยเองนั้น เราไม่ได้เป็นผู้สร้างเทคโนโลยีเหล่านี้ แต่เราเป็นหุ้นส่วนธุรกิจที่นำสินค้าหรือบริการเข้ามาให้บริการกับลูกค้าในประเทศต่อไป หรือหากเราผลิตได้เอง ตลาดของเราก็เล็กกว่าบริษัทชั้นนำซึ่งมีตลาดใหญ่กว่าระดับโลก แต่อย่าลืมครับว่า การลงทุนเป็นวิธีหนึ่งที่เปิดทางให้เราเป็นหุ้นส่วนกับบริษัทชั้นนำที่กล่าวมาแล้ว และสามารถเติบโตไปกับการเปลี่ยนแปลงระลอกใหม่ของโลกได้ หากการคาดการณ์ของเราเป็นจริง
ช่องทางการลงทุนที่นักลงทุนไทยทำได้เพื่อเลือกเป็นเจ้าของหุ้น AMZN, GOOGL, GOOG, MSFT, CRM และ IBM ได้แก่
1. ETF ที่ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีของอเมริกา
2. การเลือกลงทุนหุ้นรายตัวด้วยการใช้บัญชีแบบ global trading ซึ่งเปิดให้บริการแล้วในธนาคารพาณิชย์หรือโบรกเกอร์ไทยชั้นนำหลายแห่ง
การร่วมเป็นเจ้าของสุดยอดบริษัทเหล่านี้คงจะเป็นไม่ได้เลย หากนักลงทุนไม่กระจายการลงทุนไปต่างประเทศ
ขอบคุณภาพจาก Forbes, techcrunch, brockpress.com และ abc7news.com
#MoneyCrown
ติดปีกความรู้เรื่องหุ้น ไม่พลาดสิ่งที่คุณต้องรู้
ติดตาม LINE@stock2morrow