#ลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐาน

2564 หมี หรือ กระทิง

โดย อธิป กีรติพิชญ์
เผยแพร่:
221 views

เรามักจะจำแนกตลาดหุ้นขาขึ้น ว่าตลาดกระทิง และตลาดหุ้นขาลงว่าตลาดหมี สาเหตุที่เรียกตลาดขาขึ้น ขาลง ว่า กระทิงกับหมี มาจากท่าทางการต่อสู้ 

  • กระทิง เวลาต่อสู้ ใช้หัวจะขวิดขึ้น = ตลาดหุ้นที่ทะยานเป็นขาขึ้น 
  • หมี เวลาต่อสู้ ใช้มือตะปบลง = ตลาดหุ้นที่ร่วงเป็นขาลง 

 

ถ้าผมนั่งไทม์แมชชีนไปหาตัวเองในอดีต มกราคม 2563 ได้ ผมจะบอกตัวเองว่า ให้รอรับตลาดหมีแบบด่วนๆ ตลาดหมี ก็แปลว่า นักลงทุนควรถือเงินสดให้มากกว่าหุ้น และมีความอดทนรอดูสถานการณ์จนกว่าตลาดจะให้สัญญาณฟื้นตัว ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เน้นป้องกันการขาดทุน และหากนักลงทุนได้ทำการวิเคราะห์หุ้นที่น่าลงทุนไว้เป็นประจำ ในสภาวะที่ตลาดลงอย่างเร็วกระทั่งซบเซาในเดือนมีนาคม และช่วง 5 เดือน มิ..-.. เป็นโอกาสซื้อหุ้นที่มีคุณภาพดีในราคาที่เหมาะสมได้อย่างมากมาย 

 

จากภาวการณ์ตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงธันวาคม 2563 ตลาดหลักๆส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นไปสู่ช่วงก่อนโควิด (Pre-Covid) กันหมดแล้ว และมีหลายตลาดที่มีสภาพเป็นตลาดกระทิงตั้งแต่ปี 2563 (ทั้งๆที่เจอโควิดนี่แหละ) เช่น ตลาดหุ้นเทคโนโลยี NASDAQ หรือตลาดแถบเอเชียตะวันออกอย่าง จีน(CSI300 +22.3% YTD) เกาหลีใต้(KOSPI +22.9% YTD) และไต้หวัน(TWSE +19.7% YTD) เป็นต้น แต่ตลาดหุ้นไทยยังคงติดลบอยู่ (SET -6.4% YTD)

 

คำถามใหญ่คือ ตลาดหุ้นไทยในปี 2564 มีแนวโน้มจะเป็นตลาดแบบไหน

 

คำถามนี้จะเป็นตัวกำหนดกลยุทธ์การลงทุนในปีหน้า หากเป็นตลาดกระทิง นักลงทุนสามารถลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงในสัดส่วนที่สูงได้ (แต่นักลงทุนก็ต้องมีความระมัดระวังเรื่องการไล่ราคา ทำให้อาจจะซื้อหุ้นที่มีราคาแพงกว่าความเป็นจริงได้ การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของหุ้น ยังเป็นสิ่งสำคัญ)

 

ในช่วงตลาดกระทิง ข้อมูลข่าวสารในช่วงนี้ล้วนออกมาแต่ในเชิงบวก เพราะทุกคนกำลังมองตลาดในแง่ดี และเมื่อไหร่ที่มีคนพูดถึงข่าวในแง่ลบ นักวิเคราะห์หรือผู้เชี่ยวชาญออกมาเตือน มักจะถูกมองข้ามไป ทำให้ตลาดขาขึ้นก็มักจะขึ้นได้อย่างรุนแรง ไม่ต่างกับขาลงในช่วงที่ความกลัวโควิดเข้าขีดสุดเช่นกัน 

 

ทีนี้การประเมินว่า โอกาสที่ตลาดหุ้นไทยในปี 2564 จะเป็นกระทิงหรือไม่ ผมคิดว่ามี 5 ปัจจัยที่เป็นข้อสังเกตุได้ 

 

1.ตัวเลขดัชนีเศรษฐกิจที่สำคัญ ทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น การฟื้นตัวของตัวเลขจีดีพี (GDP Growth) ตัวเลขภาคการผลิตและภาคอุตสาหกรรม ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติ ตัวเลขอัตราว่างงานลดลง ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น เป็นต้น 

 

2. การปรับเพิ่มขึ้นของหุ้น Big Cap กลุ่มนำตลาด สังเกตที่ราคาหุ้นในบางอุตสาหกรรมที่ปรับตัวขึ้นนำหน้าอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น หุ้นกลุ่มการเงิน กลุ่มผลิตอุตสาหกรรม กลุ่มพลังงาน เป็นต้น 

 

3. ดัชนีค่าระวางเรือเพิ่มขึ้นเร็ว เมื่อเศรษฐกิจกำลังจะฟื้นตัว การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะขนส่ง Raw Material หรือปัจจัยการผลิต ประเภท commodity ที่มักจะส่งทางเรือ หุ้นสายเรือ ราคาจะปรับตัวสูงขึ้นเร็ว 

 

4. การทยอยเพิ่มค่าของสินทรัพย์เสี่ยงสูง ในทุกวิกฤติ ในช่วงแรกสินทรัพย์เสี่ยงสูงจะถูกกระหน่ำขายออกมาเพื่อถือเงินสดด้วยความเชื่อ Cash is King นำมาก่อน แต่เมื่อสถานการณ์ฟื้นตัวและผ่านจุดต่ำสุด ราคาสินทรัพย์เสี่ยงจะทยอยเพิ่มขึ้น เช่น ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ และ หุ้น (รอบนี้มี Crypto Asset อย่างบิทคอยน์ด้วย)

 

5. ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นแบบแข็งแกร่ง กล่าวคือ เป็นการขึ้นทั้งแผงแบบ Basket Buy (ซื้อยกตระกร้า) ด้วยวอลุ่มซื้อขายที่หนาแน่น โดยเฉพาะแรงซื้อ ที่เป็นฟันด์โฟลว์จากนักลงทุนต่างชาติ 

 

หากปัจจัยทั้ง 5 ข้อมาพร้อมกัน ด้วยแนวโน้มที่ชัดเจน ก็จัดเป็นสัญญาณที่ดีของภาวะตลาดกระทิง ที่จะเป็นแรงส่งโมเมนตัมเชิงบวกให้ตลาดหุ้นไทย มีโอกาสฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งในปี 2564


เจ้าของหนังสือ Best Seller “ติวหุ้น รวยด้วยวีไอ” และยังเป็นวิทยากรคอร์ส “ลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐานแบบ Value/Growth Investor” ด้วยประสบการณ์ในตลาดทุนกว่า 17 ปี และประสบการณ์ในการเป็นติวเตอร์ บวกกับความเป็นคนอารมณ์ขัน  ทำให้คุณนิ้วโป้งสามารถถ่ายทอดเรื่องยาก อย่างการลงทุน ให้เข้าใจได้ง่าย และยังใช้ภาษา ลีลาที่มีเอกลักษณ์น่าสนใจอย่างยิ่ง จึงทำให้ได้รับเชิญไปบรรยายในงานต่างๆ มากมาย

Facebook

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง