เรามักจะจำแนกตลาดหุ้นขาขึ้น ว่าตลาดกระทิง และตลาดหุ้นขาลงว่าตลาดหมี สาเหตุที่เรียกตลาดขาขึ้น ขาลง ว่า กระทิงกับหมี มาจากท่าทางการต่อสู้
- กระทิง เวลาต่อสู้ ใช้หัวจะขวิดขึ้น = ตลาดหุ้นที่ทะยานเป็นขาขึ้น
- หมี เวลาต่อสู้ ใช้มือตะปบลง = ตลาดหุ้นที่ร่วงเป็นขาลง
ถ้าผมนั่งไทม์แมชชีนไปหาตัวเองในอดีต มกราคม 2563 ได้ ผมจะบอกตัวเองว่า ให้รอรับตลาดหมีแบบด่วนๆ ตลาดหมี ก็แปลว่า นักลงทุนควรถือเงินสดให้มากกว่าหุ้น และมีความอดทนรอดูสถานการณ์จนกว่าตลาดจะให้สัญญาณฟื้นตัว ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เน้นป้องกันการขาดทุน และหากนักลงทุนได้ทำการวิเคราะห์หุ้นที่น่าลงทุนไว้เป็นประจำ ในสภาวะที่ตลาดลงอย่างเร็วกระทั่งซบเซาในเดือนมีนาคม และช่วง 5 เดือน มิ.ย.-ต.ค. เป็นโอกาสซื้อหุ้นที่มีคุณภาพดีในราคาที่เหมาะสมได้อย่างมากมาย
จากภาวการณ์ตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงธันวาคม 2563 ตลาดหลักๆส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นไปสู่ช่วงก่อนโควิด (Pre-Covid) กันหมดแล้ว และมีหลายตลาดที่มีสภาพเป็นตลาดกระทิงตั้งแต่ปี 2563 (ทั้งๆที่เจอโควิดนี่แหละ) เช่น ตลาดหุ้นเทคโนโลยี NASDAQ หรือตลาดแถบเอเชียตะวันออกอย่าง จีน(CSI300 +22.3% YTD) เกาหลีใต้(KOSPI +22.9% YTD) และไต้หวัน(TWSE +19.7% YTD) เป็นต้น แต่ตลาดหุ้นไทยยังคงติดลบอยู่ (SET -6.4% YTD)
คำถามใหญ่คือ ตลาดหุ้นไทยในปี 2564 มีแนวโน้มจะเป็นตลาดแบบไหน?
คำถามนี้จะเป็นตัวกำหนดกลยุทธ์การลงทุนในปีหน้า หากเป็นตลาดกระทิง นักลงทุนสามารถลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงในสัดส่วนที่สูงได้ (แต่นักลงทุนก็ต้องมีความระมัดระวังเรื่องการไล่ราคา ทำให้อาจจะซื้อหุ้นที่มีราคาแพงกว่าความเป็นจริงได้ การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของหุ้น ยังเป็นสิ่งสำคัญ)
ในช่วงตลาดกระทิง ข้อมูลข่าวสารในช่วงนี้ล้วนออกมาแต่ในเชิงบวก เพราะทุกคนกำลังมองตลาดในแง่ดี และเมื่อไหร่ที่มีคนพูดถึงข่าวในแง่ลบ นักวิเคราะห์หรือผู้เชี่ยวชาญออกมาเตือน มักจะถูกมองข้ามไป ทำให้ตลาดขาขึ้นก็มักจะขึ้นได้อย่างรุนแรง ไม่ต่างกับขาลงในช่วงที่ความกลัวโควิดเข้าขีดสุดเช่นกัน
ทีนี้การประเมินว่า โอกาสที่ตลาดหุ้นไทยในปี 2564 จะเป็นกระทิงหรือไม่ ผมคิดว่ามี 5 ปัจจัยที่เป็นข้อสังเกตุได้
1.ตัวเลขดัชนีเศรษฐกิจที่สำคัญ ทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น การฟื้นตัวของตัวเลขจีดีพี (GDP Growth) ตัวเลขภาคการผลิตและภาคอุตสาหกรรม ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติ ตัวเลขอัตราว่างงานลดลง ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น เป็นต้น
2. การปรับเพิ่มขึ้นของหุ้น Big Cap กลุ่มนำตลาด สังเกตที่ราคาหุ้นในบางอุตสาหกรรมที่ปรับตัวขึ้นนำหน้าอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น หุ้นกลุ่มการเงิน กลุ่มผลิตอุตสาหกรรม กลุ่มพลังงาน เป็นต้น
3. ดัชนีค่าระวางเรือเพิ่มขึ้นเร็ว เมื่อเศรษฐกิจกำลังจะฟื้นตัว การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะขนส่ง Raw Material หรือปัจจัยการผลิต ประเภท commodity ที่มักจะส่งทางเรือ หุ้นสายเรือ ราคาจะปรับตัวสูงขึ้นเร็ว
4. การทยอยเพิ่มค่าของสินทรัพย์เสี่ยงสูง ในทุกวิกฤติ ในช่วงแรกสินทรัพย์เสี่ยงสูงจะถูกกระหน่ำขายออกมาเพื่อถือเงินสดด้วยความเชื่อ Cash is King นำมาก่อน แต่เมื่อสถานการณ์ฟื้นตัวและผ่านจุดต่ำสุด ราคาสินทรัพย์เสี่ยงจะทยอยเพิ่มขึ้น เช่น ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ และ หุ้น (รอบนี้มี Crypto Asset อย่างบิทคอยน์ด้วย)
5. ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นแบบแข็งแกร่ง กล่าวคือ เป็นการขึ้นทั้งแผงแบบ Basket Buy (ซื้อยกตระกร้า) ด้วยวอลุ่มซื้อขายที่หนาแน่น โดยเฉพาะแรงซื้อ ที่เป็นฟันด์โฟลว์จากนักลงทุนต่างชาติ
หากปัจจัยทั้ง 5 ข้อมาพร้อมกัน ด้วยแนวโน้มที่ชัดเจน ก็จัดเป็นสัญญาณที่ดีของภาวะตลาดกระทิง ที่จะเป็นแรงส่งโมเมนตัมเชิงบวกให้ตลาดหุ้นไทย มีโอกาสฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งในปี 2564