วิกฤตแบงก์ชาติร้อยจุดเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยร่วงหนักมากถึง 20% ในวันเดียว เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2549 ถือเป็นการร่วงแรงที่สุดในประวัติศาสตร์หุ้นไทย (ช่วงนั้น)
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2549 ค่าเงินบาทของเราอยู่ที่ระดับ 40 บาทต่อดอล์ล่าร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นมาอยู่ราวๆ 35 บาทต่อดอล์ล่าร์สหรัฐ แน่นอนว่าการแข็งค่าอย่างรวดเร็นนั้นกระทบกับผู้ส่งออกในประเทศ ตอนนั้นประเทศไทยไม่ได้พึ่งพาการท่องเที่ยวเหมือนในตอนนี้ แต่จะเน้นไปที่อุตสาหกรรมและการส่งออกเป็นส่วนใหญ่
ดังนั้น จะต้องมีอะไรสักอย่างมาช่วยเหลือผู้ส่งออก เพื่อไม่ให้กระทบกับเศรษฐกิจในประเทศ
จึงมาจบที่มาตรการสกัดค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่า หรือมาตรการตั้งสำรอง 30% ...
สรุปง่ายๆ คือ ถ้านักลงทุนต่างชาตินำเงินเข้าประเทศ 10 ล้านดอล์ล่าร์ ถ้าแลกเป็นเงินบาท นักลงทุนท่านนั้นจะได้เงินไปเพียง 70 ล้านดอล์ล่าร์ ส่วนอีก 30 ล้านดอล์ล่าร์จะถูกตั้งสำรองเอาไว้ จะได้คืนเมื่อลงทุนในไทยมากกว่า 1 ปี
เรียกว่าเป็นการสกัดความผันผวนของค่าเงิน ไม่ให้ต่างชาติเข้ามาแลกเป็นเงินบาท และแข็งค่าไปมากกว่านี้
แต่ดูเหมือนว่านักลงทุนต่างชาติจะไม่ชอบสักเท่าไร ทำให้เกิดการเทขายอย่างหนักในตลาดหุ้นไทยเพื่อนำเงินออกไปก่อนที่มาตรการนี้จะใช้ได้จริงๆ
... จนเมื่อเวลา 11.29 น. ดัชนีหุ้นไทยลดลงกว่า 10% ทำให้ตลาดหลักทรัพย์หยุดซื้อขายชั่วคราวเป็นเวลา 30 นาที ตามระบบเซอร์กิตเบรกเกอร์ และเปิดทำการใหม่ช่วงเวลา 11.59 น. แต่เมื่อเปิดตลาดมานักลงทุนรายย่อยก็เกิดการเทขายผสมลงมาด้วย ทำให้หุ้นไทยร่วงต่ำสุดที่ 587.92 จุด ลดลง 142.63 จุด หรือคิดเป็น 19.52% เกือบจะต้องหยุดซื้อขายเป็นรอบที่ 2
อย่างไรก็ตาม ในช่วงกลางคืนของวันเดียวกัน ทางแบงก์ชาติก็ได้ประกาศยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ทำให้เปิดตลาดมาในวันถัดไป หุ้นก็พุ่งขึ้นกลับมาอย่างรุนแรง สร้างความไม่พอใจให้กับนักลงทุนรายย่อยที่ขายตัดขาดทุนออกมาเป็นจำนวนมาก
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นแล้ว ก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเหตุการณ์ตอนนั้นดูรุนแรงและปั่นป่วนก็จริง แต่คงสู้ความรุนแรงวิกฤต COVID-19 ช่วงกลางปีไม่ได้ ที่ตลาดหุ้นไทยเปิดตลาดก็โดนเซอร์กิตเบรกเกอร์ทันที และสุดท้ายเมื่อเวลาผ่านไป ตลาดหุ้นไทยก็ค่อยๆกลับมาฟื้นตัวช่วงปลายปี น้ันเองครับ
... ทุกวิกฤต สอนเราเสมอว่ามีโอกาสรอคอยอยู่ในนั้น ....