1. คนจำนวนมากทำงานเก่ง แต่อาจจะลงทุนไม่เก่ง หรือไม่มีเวลามากเพียงพอในการค้นคว้าเจาะลึกการลงทุน ดังนั้นการลงทุนในกองทุนรวม ETF จึงตอบโจทย์กลุ่มคนเหล่านี้
2. กองทุน ETF คือ "ตะกร้ารวมหุ้น" หรือตะกร้ารวมสินทรัพย์อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น สินค้าโภคภัณฑ์ ทองคำ น้ำมัน ดัชนีทั่วโลก ตราสารหนี้ สิ่งเหล่านี้เราเรียกว่าสินค้าอ้างอิง ซึ่งมูลค่าของหน่วยลงทุนจะขึ้นลงแบบ Real Time อ้างอิงกับสินค้าชนิดนั้นๆ
3. ง่ายต่อการซื้อขาย เราสามารถซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ ผ่านโปรแกรมสตีมมิ่งได้เลย เช่น กองทุน EBANK คือ กองทุนเปิด KTAM SET BANKING ETF TRACKER พูดง่ายๆคือเป็นตะกร้ารวมหุ้นของกลุ่มแบงก์ เราอาจจะไม่อยากเสียเวลามานั่งทำการบ้านหุ้น BBL หรือ KBANK ควรจะซื้อตัวไหนดี ถ้าตัดสินใจไม่ได้ทำไมเราไม่ซื้อทั้งตะกร้าไปเลยละ !!
4. ซื้อ ETF ถือเป็นการกะจายความเสี่ยงชั้นดี และใช้เงินที่น้อยกว่า
การซื้อหุ้นตัวเดียว หรือซื้อแบบกระจุกตัวอาจจะดูเสี่ยงเกินไป แต่ถ้าเราซื้อ ETF ที่อ้างอิงกับ SET50 Index คือตะกร้ารวมหุ้น 50 ตัวชั้นดีที่อยู่ใน SET50 เหมือนว่าเราซื้อหุ้น 50 ตัว
5. กองทุน ETF บางกองทุนมีจ่ายเงินปันผล
บางกองทุนมีจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหน่วย บางกองไม่มี ดังนั้นผู้ลงทุนต้องศึกษาให้ดี และที่สำคัญเงินปันผลที่ได้ต้องเสียภาษี 10%
แต่ถ้ากำไรที่เกิดจากการขายหน่วยลงุทน หรือ Capital Gain ไม่เสียภาษี ...
6. กองทุน ETF บางกองลงทุนต่างประเทศ
ช่วงนี้การลงทุนต่างประเทศกำลังเป็นกระแส การเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศ หรือศึกษาหุ้นต่างประเทศอาจจะยุ่งยาก ดังนั้น กองทุน ETF ที่ลงทุนในต่างประเทศจึงเป็นทางเลือกที่สะดวกสบายกว่า ซื้อง่ายขายคล่อง และกระจายความเสี่ยงได้ดีกว่า
ETF คือ นวัตกรรมทางการเงินที่ผสมผสานคุณลักษณะของกองทุนรวมและหุ้นเข้าด้วยกัน ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี้ครับ : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย