ถึงเวลากลับเข้าตลาดหรือยัง?
บทความโดย อาจารย์ Nine (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศุภวัฒน์ สุภัควงศ์)
ในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนี SET เริ่มมีการเคลื่อนไหวในทิศทางบวกมากขึ้น ทั้งผ่านแนวต้านหลักที่ 1,400 จุด ทำ new high ในกรอบ 20 วัน และทะยานตัวขึ้นมาเคลื่อนไหวเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน (สีฟ้า) ได้ ซึ่งถือเป็นแนวโน้มระยะกลางที่ดี อย่างไรก็ตาม สังเกตุไหมครับว่า SET ก็ยังคงเคลื่อนไหวต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน (สีแดง) อยู่พอสมควร ซึ่งเป็นเส้นหลักบ่งชี้เทรนด์ของดัชนีในระยะยาว
ดังนั้น ณ จุดนี้ ท่านคิดว่า เราสามารถกลับเข้ามาเทรดได้หรือยังครับ ?
ผมขอเสนอมุมมองในเชิงสถิติละกันครับ สมมุติว่า เรามีระบบการลงทุนที่ซื้อขายโดยพิจารณาจากการตัดกันของเส้นค่าเฉลี่ยสองเส้น (double moving average crossover) เช่น ซื้อเมื่อค่าเฉลี่ยเส้นสั้น (5 วัน) ตัดค่าเฉลี่ยเส้นยาว (20 วัน) ขึ้น และขายเมื่อค่าเฉลี่ยเส้นสั้นตัดลง นี่คือระบบพื้นฐานที่นักลงทุนส่วนใหญ่โดยเฉพาะสายเทคนิคน่าจะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว แล้วหากเราใช้กลยุทธ์นี้ในการซื้อขายหุ้นในกลุ่ม SET100 ภายใต้สภาพตลาดเช่นนี้ละ ผลจะเป็นอย่างไร (กำหนด position size ที่ 10)
ผมขอเปรียบเทียบ 2 กรณีนะครับ คือ หนึ่ง กรณีที่ SET index เคลื่อนไหวเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน เรียกว่า ตลาดขาขึ้น และ กรณีที่สอง ที่ทำการซื้อขายโดย SET อยู่ต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย เรียกว่าตลาดขาลง โดยพิจารณาย้อนหลังไป 10 ปี ตั้งแต่ช่วงปี 2005 จนถึงปัจจุบัน (ต้องย้อนหลังกลับไปนานหน่อย เพราะช่วงที่ดัชนีเคลื่อนไหวต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 200 วัน เกิดไม่บ่อยมาก มีเฉพาะตอนเกิดวิกฤต หรือมีสภาพเศรษฐกิจแย่ๆ เท่านั้น) มาดูผลกันครับ
อัตราผลตอบแทน ระบบให้ผลตอบแทนรวม 10 ปีที่ 390.1% หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีที่ 17.2% เมื่อทำการซื้อขายในช่วงตลาดขาขึ้น เทียบกับผลตอบแทนรวมที่ 44.75% หรือเฉลี่ยปีละ 3.8% เมื่อทำการซื้อขายในช่วงตลาดขาลง สังเกตุไหมครับ ต่างกันอยู่หายเท่าทีเดียว
จำนวนครั้งในการเทรด 832 ครั้งสำหรับขาขึ้น เทียบกับ 612 ครั้งสำหรับชาลง ซึ่งชี้ให้เห็นว่า สภาพตลาดช่วยกรองการซื้อขายในช่วงขาลงออกไปได้มากพอสมควรเลย ทั้งนี้
- กำไรเฉลี่ยจากการซื้อขาย(ในกรณีที่กำไร) อยู่ที่ 14.6% ในช่วงขาขึ้น และ 10.4% ในช่วงขาลง ในทางกลับกัน
- ขาดทุนเฉลี่ย (ในกรณีที่ขาดทุน) อยู่ที่ -3.8% ในช่วงตลาดขาขึ้น และ -4.3% ในช่วงตลาดขาลง
ความเสี่ยง หากใช้ระบบนี้ในการซื้อขาย พอร์ตการลงทุนของคุณอาจหดตัวลงมากสุด (maximum system drawdown) อยู่ที่ประมาณ -29.1% ในช่วงขาขึ้น และ -37.6% ในช่วงขาลง
ข้อสรุป
สองสิ่งที่มาคู่กันเสมอสำหรับการลงทุนในแนวทางไหนก็ตาม ก็คือ หนึ่ง อัตราผลตอบแทน ที่ทำให้เงินลงทุนของเรางอกเงยขึ้นเรื่อยๆ กับ สอง ความเสี่ยงในการลงทุน ที่จะทำให้เงินลงทุนของเราหดหายลงไป จากตัวอย่างที่ผมแสดงให้ท่านดู ใจความสำคัญ หรือ key message ที่ต้องการส่งต่อให้กับผู้อ่านทุกท่าน ไม่ได้อยู่ที่ตัวเลขหรือรายละเอียดของระบบที่ทำการซื้อขาย แต่อยากจะบอกว่า เราต้องคำนึงถึงสภาพตลาดในภาพรวมด้วยทุกครั้งว่าสอดคล้องกับแนวทางการลงทุนของเราหรือไม่
เคยได้ยินไหมครับ เวลาคนเปิดร้านค้าขายบ่นว่าเศรษฐกิจแย่ ขายของไม่ดีเลย หรือ ช่วงนี้เศรษฐกิจกำลังไปด้วยดี เราต้องรีบกอบโกยให้มากที่สุด.....การลงทุนในตลาดหุ้นก็เช่นกันครับ
ติดตามผลงานเพิ่มเติมได้ที่ www.supawat.net หรือ www.facebook.com/drsupawat