ตั้งข้อสังเกตุสั้นๆ เอาไปคิดต่อนะครับ
- ผลประกอบการไตรมาสล่าสุด 3Q2558 ของ PTTEP ตกใจจนน่าขนลุก เพราะขาดทุนมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้อย่างมากมาย
- การขาดทุนบักโกรกแบบมโหฬารในครั้งนี้ จริงๆแล้วเกิดขึ้นจากการปรับมูลค่าทางบัญชี ซะเป็นส่วนใหญ่ มากกว่าที่จะเกิดขึ้นจากผลประกอบการปกติที่เป็นกระแสเงินสดจริงๆ
- อาจเป็นไปได้ว่า การที่ PTTEP อาศัยจังหวะที่ไหนๆราคาน้ำมันก็ร่วงมาแรง ผลประกอบการไตรมาสนี้ยังไงๆก็ไม่สวยอยู่แล้ว เลยตัดสินใจบันทึกการตั้งด้อยค่าสินทรัพย์ (impairment charges) ให้เยอะๆไปเลย เหมือนการผ่าฝีเอาหนองออก ให้ "ช้ำสุดๆ" ไปเลยทีเดียว (กลยุทธ์นี้ก็เป็นกลยุทธ์ ที่ใช้กันอยู่เรื่อยๆ แม้กระทั่งบริษัทใหญ่อย่าง General Electrics ของประเทศสหรัฐอเมริกา ก็เคยทำมาแล้ว)
- ในอนาคต "หาก" ราคาน้ำมันโลกค่อยๆปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับปกติ บริษัทก็อาจสามารถบันทึกบัญชีเป็นกำไรย้อนกลับมาได้อยู่ดี
ใครที่คิดว่าราคาน้ำมันจะลงต่อไปอีก หรือไม่รู้ว่า PTTEP จะยังต้องตั้งค่าสำรองเพิ่มเติมของบ่ออื่นๆอีกหรือเปล่าในไตรมาสหน้า คงไม่ค่อยอยากยุ่งกับหุ้นน้ำมัน Upstream ต้นน้ำแบบนี้เท่าไร …
แต่ … ถ้าใครเชื่อว่าราคาน้ำมันคงไม่ลงต่ำไปกว่านี้มากแล้ว อาจพิจารณาลองเจียดๆเงินลงทุนบางส่วนมา เผื่อไตรมาสหน้า (หรือปีหน้า) มีลุ้นราคาน้ำมันโลกปรับตัวขึ้น
แล้วแต่จะพิจารณากันเองนะครับ
*****
บทวิเคราะห์
PTTEP 3Q2015 ASPS Research
- PTTEP รายงานผลการดำเนินงานงวด 3Q58 เผชิญกับผลขาดทุนสุทธิเท่ากับ 4.62 หมื่นล้านบาท มากกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาดไว้ที่จะเผชิญขาดทุนสุทธิที่ 2.26 หมื่นล้านบาท (เทียบกับงวด 2Q57 ที่เป็นกำไรสุทธิ 1.31 พันล้านบาท) ซึ่งความแตกต่างหลักมาจากการบันทึกการตั้งด้อยค่าสินทรัพย์ (impairment charges) ที่ประกาศออกมาสูงถึง 4.98 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่ฝ่ายวิจัยกำหนดไว้ที่ 2 หมื่นล้านบาท ภายใต้สมมติฐาน forward price ราคาน้ำมันดูไบของ PTTEP ที่นำมาใช้ในการประเมิน Book value ของสินทรัพย์ที่เป็น oil base ในปี 2558 ที่ 47-48 $/bbl ปี 2559 ที่ 52$/bbl ปี 2560 ที่ 57$/bbl และค่อยๆปรับตัวเพิ่มขึ้นจนถึงปี 2568 ที่ 83-84$/bbl จากมุมมองเดิมที่ใช้ราคาน้ำมันปี 2558-59 ที่ 70-80 $/bbl ในการประเมิน นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายพิเศษจากผลกระทบของค่าเงินบาทที่อ่อนค่าจำนวน 9.5 พันล้านบาท แต่ได้ในส่วนของกำไรจาก hedging มาช่วยพยุงไว้เป็นจำนวน 3.6 พันล้านบาท
- อย่างไรก็ตามหากตัดรายการค่าใช้จ่ายพิเศษดังกล่าวข้างต้นรวมกว่า 5.6 หมื่นล้านบาท พบว่าผลการดำเนินงานปกติเป็นกำไรที่ 9.5 พันล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้ถือว่าดีกว่าคาดไว้เดิม โดยเป็นผลมาจาก
1) ต้นทุนการผลิตรวมที่ปรับตัวลดลง 8.2%qoq มาอยู่ที่ 38.51 $/bbl หลักๆมาจากค่าเสื่อมราคาและต้นทุนการเงินที่ลดลง แม้จะมีค่าตัดจำหน่ายหลุมแห้งกว่า 2.5 พันล้านบาท จากหลุม M3 ในพม่า
2) มี Tax credit เป็นจำนวน 2.9 พันล้านบาท จากผลประโยชน์ทางภาษีของการตั้ง impairment ราว 1.4 พันบ้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 1.4 พันล้านบาท มาจากการ reverse ภาษีกลับของโครงการ zawtika ในพม่าที่ไม่ต้องเสียภาษีซ้ำซ้อนในไทย เนื่องจากได้รับการยกเว้นภาษีของโครงการเป็นเวลา 5 ปี และ
3) ปริมาณขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.1%qoq มาอยู่ที่ 3.32 แสนบาร์เรลต่อวัน แม้ในงวดนี้จะมีปัจจัยกดดันผลการดำเนินปกติหลักจากราคาขายเฉลี่ยผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ปรับตัวลดลง 8.1%qoq มาอยู่ที่ 44.5 $/bbl
- ฝ่ายวิจัยมีแนวโน้มปรับลดประมาณการผลการดำเนินงานทั้งปี 2558 เพื่อสะท้อนผลการดำเนินงานงวด 3Q58 ที่แย่กว่าคาดการณ์ไว้เดิม จากรายการพิเศษต่างๆดังกล่าวข้างต้น โดยเฉพาะการตั้งด้อยค่าสินทรัพย์และผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งภายใต้ประมาณการใหม่มีแนวโน้มที่ผลการดำเนินงานทั้งปี 2558 จะเผชิญกับผลขาดทุนสุทธิ เทียบกับปี 2557 ที่เป็นกำไรสุทธิ 2.1 หมื่นล้านบาท
- ในส่วนของเงินปันผลซึ่งตลาดกังวลนั้น ผู้บริหารชี้แจงว่าจะต้องเข้าที่ประชุมเพื่อพิจารณาความเหมาะสมว่าจะดูแลผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นอย่างไร โดยยังไม่บอกชัดเจนว่าจะจ่ายหรือไม่ แต่หากพิจารณาจากเงินสดคงเหลือในมือ ณ สิ้นงวด 3Q58 พบว่ายังอยู่สูงกว่า 1 แสนล้านบาท ประกอบกลุ่ม PTT ในอดีตก็เคยเกิดเหตุการณ์คล้ายแบบนี้ แต่ยังจ่ายเงินปันผลได้ ดังนั้นจึงคาด PTTEP น่าจะยังจ่ายเงินปันผลได้เช่นกัน
- ฝ่ายวิจัยอยู่ระหว่างทบทวนปรับลดมูลค่าพื้นฐาน ณ สิ้นปี 2558 (DCF) จากปัจจุบันที่ 94 บาทต่อหุ้น เพื่อสะท้อนผลการดำเนินงานงวด 3Q58 ที่ย่ำแย่กว่าคาดมาก อย่างไรก็ตาม แม้ราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาจะปรับตัวลดลงซึ่งสะท้อนปัจจัยลบจากประเด็นดังกล่าวไปในระดับหนึ่ง แต่คาดว่าอาจจะยังมีแรงกดดันรับการประกาศงบในครั้งนี้อีกระลอก
เบื้องต้นจึงคงคำแนะนำ “ถือ” รอจังหวะเข้าลงทุนหลังหุ้นปรับฐานเพื่อลดความเสี่ยง
- อย่างไรก็ตามประเด็นดังกล่าวที่เกิดขึ้นของ PTTEP จะกระทบประมาณการ และ fair value ของ PTT ให้มีการปรับลดจากเดิมเช่นกัน
ติดปีกความรู้เรื่องหุ้น ไม่พลาดสิ่งที่คุณต้องรู้
ติดตาม LINE@stock2morrow