สรุปแนวคิด 30 ข้อ จากหนังสือ Beating The Street เขียนโดยผู้จัดการกองทุนที่เป็นตำนานอย่าง Peter Lynch ที่คนไทยน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดี

มีแนวคิดอะไรสำคัญบ้าง มาดูกันครับ

1. ลงทุนในสิ่งที่คุณรู้เท่านั้น

 

2. ผมไม่เคยบอกว่า ถ้าคุณไปเดินเล่นในห้าง แล้วเห็นร้านกาแฟสตาร์บัคส์เต็มไปด้วยผู้คน คุณควรจะรีบกลับบ้านโทรหาโบรคเกอร์แล้วซื้อทันที
... สิ่งที่คุณควรทำ คือ กลับมาทำการบ้าน และอ่านงบการเงินเป็นอันดับแรก

 

3. ลงทุนในหุ้นสามัญ มันไม่ได้สามัญ(ง่าย) เหมือนชื่อ

 

4. การลงทุนโดยที่ไม่ผ่านการวิเคราะห์ ก็เหมือกับเล่นไพ่แล้วไม่ได้ดูไพ่ในมือ

 

5. ถ้าคุณไม่เข้าใจถึงสถานะทางการเงินของบริษัท คุณก็ไม่ควรจะเข้าไปซื้อมันตั้งแต่แรก

 

6. คุณอาจจะเป็นนักลงทุนประเภทเล่นช๊อต (Short Selling) กำไรที่คุณจะได้มากที่สุดคือ 90% แต่ถ้าคุณเป็นนักลงทุนที่ชอบซื้อ (Long) กำไรที่คุณจะได้มากที่สุดคือ "สิบเท่า" หรือแม้กระทังไร้ขีดจำกัด

 

7. การลงทุนเป็นเรื่องที่สนุก จงสนุกกับมัน ถ้าคุณไม่ได้สนุกกับมันแสดงว่ามันไม่ใช่ทางของคุณ

 

8. หุ้นที่คุณควรซื้อ อาจจะเป็นหุ้นที่คุณมีอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องหาหุ้นตัวใหม่อยู่ตลอดเวลา

 

9. ยารักษาโรคสำหรับคนที่มองว่าตลาดหุ้นเป็นตลาดที่ทำกำไรได้อย่างง่ายๆ คือการตกลงอย่างหนักของราคาหุ้น

 

10. แน่นอน! ถ้าคุณคิดจะอยู่ในตลาดหุ้น คุณไม่มีทางหนีพ้นในเรื่องของการปรับฐาน การลดลงอย่างหนักของตลาดหุ้น สถาวะตลาดหมี เศรษฐกิจตกต่ำ เศรษฐกิจดี สดใส ตลาดหุ้นพุ่ง สภาวะตลาดกระทิง

 

11. ไม่มีเรื่องน่าอายถ้าคุณลงทุนในหุ้นแล้วขาดทุน เพราะคนทุกคนก็เคยขาดทุนจากมัน
แต่เรื่องที่น่าอายมากที่สุดคือ คุณไม่รู้ว่าหุ้นที่คุณถืออยู่ พื้นฐานกำลังแย่ลงเรื่อยๆ และคุณซื้อมันเพิ่มไปอีก

 

12. การออกไปเดินห้างสรรพสินค้า มันเป็นโอกาสที่ดีที่คุณจะได้เจอไอเดียใหม่ๆทางการลงทุน

 

13. การซื้อหุ้นของผู้บริหารมีความสำคัญมาก โปรดอย่ามองข้าม
เพราะเหตุผลเดียวที่ผู้บริหารซื้อ คือ พวกเขารู้สึกว่าหุ้นของพวกเขาต่ำกว่ามูลค่าอย่างที่ควรจะเป็น

 

14. คนที่ยังคิดว่าการปรับฐานหรือหุ้นตกเป็นเรื่องอันตราย แต่มันจะอันตรายก็ต่อเมื่อคุณขายหุ้นเท่านั้น
พวกเขาลืมไปอีกอย่างว่า การที่ไม่มีหุ้นในวันที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์เป็นเรื่องที่อันตรายยิ่งกว่า

 

15. เมื่อนักวิเคราะห์เริ่มง่วงงาวหาวนอนไปกับการวิเคราะห์หุ้น มันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่จะกลับมาซื้อหุ้นอีกครั้ง

 

16. การลงทุนในหุ้นวัฐจักร จะสร้างผลตอบแทนได้อย่างงดงามให้กับนักลงทุนถ้าคุณซื้อในจุดต่ำสุด (P/E ratio สูงๆ) ในขณะเดียวกันมันจะเป็นยาพิษสำหรับนักลงทุนที่ไปซื้อตอนจุดสูงสุด (P/E ต่ำๆ)

 

17. "การเปลี่ยนชื่อของบริษัท" ก็เหมือนกับการเปลี่ยนชื่อของคน มีเหตุผลอยู่ 2 อย่าง นั้นคือ
1. พวกเขาแต่งงาน เลยต้องเปลี่ยนนามสกุล
และ 2. พวกเขามีบางสิ่งบางอย่างที่เลวร้ายในอดีตและอยากจะให้สังคมลืมๆมันไป

 

18. การลงทุนเป็นเรื่องที่สนุกและชวนให้หลงใหล ในขณะเดียวกันมันก็อันตรายมากถ้าคุณเป็นพวกที่ไม่ชอบทำการบ้าน

 

19. ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นวอลสตรีทเต็มไปด้วยนักวิเคราะห์ชั้นเซียน นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล แต่เมื่อพวกเขามาลงทุนแล้วกลับลงทุนได้แย่
... คุณสามารถเอาชนะตลาดหุ้นได้โดยไม่ไปฟังพวกเขาพูดเรื่องการวิเคราะห์ตลาด หรือการคาดเดาเหล่านั้น

 

20. เบื้องหลังของหุ้นทุกตัว มีบริษัทผูกติดอยู่กับมัน จงค้นหาว่าพวกมันทำมาหากินอย่างไร
ถ้าบริษัทดี หุ้นก็จะดีไปด้วย แต่ถ้าบริษัทแย่ หุ้นก็จะแย่ตามไปด้วยเช่นเดียวกัน

 

21. กฏของการลงทุนในหุ้นข้อสำคัญที่สุด คือ จงอดทน!
เมื่อคุณทำเงินจากมันได้ 10 เท่า คุณมองย้อนกลับมาและคิดว่า มันคุ้มค่ามากที่เราอดทนรอ

 

22. การมีหุ้นก็เหมือนกับมีลูก การมีลูกมากเกินไปจะสร้างเรื่องปวดหัวให้กับคุณ นักเล่นหุ้นบางคนติดตามบริษัทแค่ 8-12 บริษัท พวกเขาก็กลายมาเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จได้แล้ว คุณไม่มีความจำเป็นต้องตามหุ้นเป็น 100 ตัวอย่างที่สถาบันกองทุนเขาทำกัน

 

23. ถ้าคุณไม่สามารถหาหุ้นที่น่าสนใจได้ เอาเงินไปเก็บไว้ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลมากกว่า

 

24. หลีกเลี่ยงในหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมร้อนแรง เพราะจากประสบการณ์ของผมแล้วการที่คุณรู้ว่าอุตสาหกรรมนั้นเติบโตเป็นเลขสองหลัก นั้นคือเวลาที่เป็นจุดสูงสุดของอุตสาหกรรมนั้นๆ

 

25. การที่คุณคิดว่าอุตสาหกรรมบางอบ่างอาจจะฟื้นตัวได้เร็วๆนี้ ขอให้คุณรอให้มันฟื้นตัวก่อนค่อยเริ่มต้นลงทุนก็ยังไม่สาย อุตสาหกรรมรถม้าและทำวิทยุเป็นอุตสาหกรรมที่ไม่เคยฟื้นตัวกลับมาอีกเลย

 

26. การตกลงอย่างหนักของตลาดหุ้นเป็นปรากฏการณ์ปกติ ก็เหมือนกับการเกิดพายุหิมะในทางตอนเหนือ หรือฝนตกหนักทางตอนใต้
มันจะทำอะไรคุณไม่ได้ถ้าคุณมีความเตรียมพร้อม
 ... และยิ่งกว่านั้นถ้าคุณมีประสบการณ์มันยังเป็นโอกาสให้คุณซื้อหุ้นตัวโปรดในราคาที่มีส่วนลดจากคนที่ตื่นตระหนกอีกด้วย

 

27. คนทุกคนมี IQ มากเพียงพอในการวิเคราะห์บริษัท แต่มีน้อยคนนักที่จะมี EQ มากเพียงพอจะลงทุนในหุ้นและปล่อยให้ตลาดสร้างความโลภและความกลัว
... ถ้าคุณเป็นบุคคลประเภทพร้อมจะขายทุกสิ่งทุกอย่างในวันที่ตลาดหุ้นตก คุณไม่เหมาะที่จะลงทุนในหุ้น รวมถึงกองทุนรวมหุ้น

 

28. ในระยะยาวแล้ว พอร์ตโฟลิโอที่ประกอบไปด้วยหุ้นสามัญชั้นเยี่ยม รวมถึงกองทุนรวมหุ้น จะสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าตราสารหนี้ หรือกองทุนตราสารหนี้ชนิดที่ไม่เห็นฝุ่น

 

29. เมื่อคุณเจอหุ้นที่น่าสนใจ คุณซื้อมันเข้าพอร์ต มันอาจจะลงต่อไปได้อีก
ผมเคยซื้อหุ้นตัวหนึ่งที่ราคา 12 เหรียญ มันลงไปจุดต่ำสุดที่ 2 เหรียญ ก่อนที่จะพุ่งขึ้นไปที่ 30 เหรียญ ก่อนที่ผมจะขายทำกำไรออกไป
สรุปแล้วคุณไม่มีทางรู้หรอกว่าจุดต่ำสุดของราคาหุ้นอยู่ที่ตรงไหน

 

30. ตอนที่ผมทำงานอยู่ใน Fidelity ผมมักจะได้รับเชิญไปร่วมเสวนาทิศทางตลาดและหุ้นรายตัวที่พร้อมจะระเบิดในอีก 1 เดือนข้างหน้า ที่จริงแล้วพวกเขาไม่ได้เรียกพวกเรามาเสวนา แต่เรียกพวกเรามา "ร่วมกันกังวลใจ" น่าจะเหมาะสมกว่ามาก

เวลาหุ้นขึ้นแรงๆ เหล่านักวิเคราะห์ก็จะบอกว่าหุ้นมีการขึ้นมาเยอะแล้วจะมีแรงเทขายทำกำไร ให้ชะลอการลงทุนไว้ก่อน
ถ้าเมื่อใดหุ้นตกลงไปแรง แทนที่พวกเขาจะเชียร์ให้เราซื้อหุ้น พวกเขากลับบอกว่า "การตกลงมาแรงครั้งนี้ทำให้ผมนึกถึงเมื่อ 2 ปีก่อนที่อเมริกาเข้าสู่ภาวะถดถอย ให้ชะลอการลงทุนไว้ก่อน" ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม ข่าวร้ายๆจะมีอยู่ทุกที่และตลอดเวลา
ถ้านักลงทุนเชื่อนักวิเคราะห์เหล่านั้น คุณก็จะไม่มีวันได้ซื้อหุ้นเลยเพราะจะต้อง "ชะลอการลงทุนไว้ก่อน" อยู่เสมอ

สรุปแล้วเส้นแบ่งแยกระหว่างนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จและนักลงทุนผู้พ่ายแพ้ ไม่ใช่ความเฉลียวฉลาด การอ่านงบการเงิน หรือแม้แต่การหาจังหวะที่เส้นกราฟตัดกันไปมา แต่เป็นการเพิกเฉยต่อข่าวร้ายๆที่เกิดขึ้นในวอลสตรีทต่างหาก

นี้ก็เป็นแนวคิด 30 ข้อ จากที่ได้อ่านหนังสือ Beating The Street ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนนักลงทุนครับ