ทำไม P/BV จึงอาจสะท้อนมูลค่าได้ดีกว่า P/E?
PE (price-to-earning ratio) หรือราคาหุ้นเทียบกับกำไรต่อหุ้น เป็นหนึ่งในอัตราส่วนทางการเงินยอดนิยมที่นักลงทุนมักใช้กันบ่อยๆ เนื่องจากมันเป็นค่าที่หาได้ง่าย สะดวกในการใช้ รวมถึง "วิเคราะห์ตามตำรา" ได้ง่ายที่สุดอีกด้วย โดยการดูตามตำราในที่นี้ก็คือ หุ้นตัวไหนมี PE สูง จะเป็นหุ้นที่แพง และหุ้นตัวไหนที่ PE ต่ำ จะเป็นหุ้นที่ถูก
ในบางเวลานั้นค่า PE เพียงอย่างเดียวก็สามารถวิเคราะห์หุ้นได้อย่างเฉียบขาดและทำเงินจากมันได้ อย่างเช่นในปี 2008 ที่หุ้นหลายตัวต่างก็มี PE ต่ำทั้งนั้น และราคาก็พุ่งขึ้นสูงหลายร้อย % ในปัจจุบัน บางตัวอาจถึงขั้นเป็น "หุ้นสิบเด้ง" ตามแบบฉบับของ ปีเตอร์ ลินช์ ด้วยซ้ำไป
แต่ด้วยภาวะตลาดในปัจจุบันที่ผันผวน ประกอบกับผลดำเนินงานของบริษัทที่แกว่งตัวแรงตามสภาพเศรษฐกิจ บางครั้งการดู PE อย่างเดียวอาจ “เอาไม่อยู่” จึงจำเป็นต้องดูเพิ่มอีกหนึ่งอัตราส่วนที่สำคัญ (แต่หลายครั้งกลับถูกมองข้าม) นั่นคือ P/BV
P/BV (price-to-book value) หรือราคาหุ้นต่อมูลค่าตามบัญชี มีสูตรในการคำนวณคล้ายกับ PE แต่จะเปลี่ยนจาก E (Earning per Shares) มาเป็น BV (Book Value) แทน และวิธีการดูอย่างง่ายที่สุดก็คือ หุ้นตัวไหนมีค่า P/BV สูง นั่นคือหุ้นที่แพง และตัวไหนค่า P/BV ต่ำ นั่นคือหุ้นที่ถูก
ดู P/BV ดีตรงไหน?
ในด้านของ "ความปลอดภัย" จากการดูนั้น P/BV มีสูงกว่า เพราะสำหรับค่า PE ตัว E ซึ่งเป็นกำไรต่อหุ้นมันสามารถ "ดิ้นได้" ความหมายคือในบางปีที่บริษัทมีกำไรพิเศษ ค่า PE ก็จะต่ำ (เพราะ E สูงขึ้น) ทำให้หุ้นตัวนั้นเป็นหุ้นที่ดูเหมือนจะราคาถูกโดยปริยาย แต่หากในปีต่อมากำไรของกิจการกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง หุ้นตัวนั้นจะดูแพงขึ้นทันทีเพราะ E ลดลง
หรือกรณีสุดคลาสสิคอย่าง BDMS ก่อนหน้าที่หุ้นโรงพยาบาลจะเป็นที่นิยมนั้น BDMS ก็มี PE สูงถึง 30-40 เท่าอยู่แล้ว หากนักลงทุนคนใดก็ตามใช้ค่าพีอีในการเลือกหุ้นอาจจำเป็นต้องทิ้ง "ไข่ทองคำ" ฟองนี้ไปอย่างน่าเสียดาย
แต่สำหรับ P/BV ซึ่งตัวหารเป็น "มูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น"นั้นมีความผันผวนน้อยกว่ากำไรสุทธิเป็นอย่างมาก เพราะมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้นนั้นคำนวณมาจาก "ส่วนของผู้ถือหุ้น หารด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมด" และแน่นอนว่าเราแทบไม่เคยเห็นกิจการไหนที่มีส่วนทุนขึ้นๆ ลงๆ หวือหวาจนคาดเดาไม่ได้
ข้อควรระวังในการดู P/BV
แต่การเลือกหุ้นโดยดูจาก P/BV เพียงอย่างเดียวก็อันตรายเหมือนกันเพราะ:
1. คุณอาจติดกับจากหุ้นโตช้า!
บางบริษัทที่ P/BV ต่ำ (หรือ อาจน้อยกว่า 1 เท่าด้่วยซ้ำ) ทำให้นักลงทุนหลายคนคิดว่าได้ซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่าราคาบัญชีเสียอีก! แต่ในความเป็นจริงแล้ว ราคาหุ้นอาจจะสะท้อนแนวโน้มธุรกิจว่า รายได้และกำไรของบริษัทในอนาคตอาจไม่โตแล้ว หรือแม้กระทั่งกำลังถอดลงอย่างช้าๆด้วยซ้ำ
ยกตัวอย่างเช่นหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมสิ่งทอ บางบริษัทมี P/BV ต่ำกว่า 1 เท่าซะด้วยซ้ำ เนื่องจากอนาคตที่สิ่งทอจะกลับมาเป็นอุตสาหกรรมดาวรุ่งได้อีกครั้ง มีน้อยมาก
2. ยังไม่ได้มีการ “ประเมินราคา” ทางบัญชีใหม่
“มูลค่าตามบัญชี” บางครั้งก็ไม่ได้สะท้อนถึงราคาจริงในตลาด ยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจน เช่น หุ้นบริษัทขุดเจาะน้ำมันหรือหุ้นเหมืองแร่ในขณะนี้ มูลค่าทางบัญชีอาจจะยังไม่ได้สะท้อนถึงราคาน้ำมัน หรือราคาสินแร่ปัจจุบันที่ตกต่ำลงเป็นอย่างมาก เพราะราคา book ยังเป็นราคาเดิมที่ไม่ได้มีการปรับราคาลงตามราคาตลาดที่เป็นจริงในปัจจุบัน (mark-to-market)
ดังนั้นเมื่อราคาทางบัญชี (BV) สูงกว่าความเป็นจริง เลยทำให้ P/BV ดูต่ำกว่าความเป็นจริงเช่นเดียวกัน
3. ใช้ในการประเมินบริษัทที่มีสินทรัพย์น้อยไม่ได้
ธุรกิจบางประเภทเช่น บริษัทซอฟต์แวร์ บริษัทให้งานบริการ หรือ บริษัทที่มีสินค้าแบรนด์ดังๆติดหู อาจมีสินทรัพย์ (tangible assets) ที่บันทึกในบัญชีไม่มาก เพราะส่วนใหญ่เป็นสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ (intangible assets) เช่นสินทรัพย์ทางปัญญา หรือ มูลค่าความนิยมในแบรนด์ ดังนั้นหากนักลงทุนมองแค่ P/BV เผินๆอาจมองว่าหุ้นแพง ทั้งๆที่จริงๆแล้วอาจเป็นหุ้นที่เติบโตสูงได้ ทำให้พลาดโอกาสการซื้อหุ้นไป
สรุป
การดูอัตราส่วน P/BV ช่วยนักลงทุนได้มาก แต่ต้องเข้าใจด้วยว่าการดูอัตราส่วนใดเพียงอย่างเดียว ไม่เคยเพียงพอกับการสรุปว่าบริษัทนั้นน่าลงทุนหรือไม่
ขยันศึกษา เพราะตลาดหุ้นไม่เคยให้เงินกับใครง่ายๆครับ ขอให้โชคดีกับการลงทุน
อ่านบทความ เสริมความรู้ แน่นๆเนื้อๆก่อนใครที่ line@stock2morrow