อีก 2 เดือน ก็จะจบปี 2563 แล้ว ถ้าดูจากตอนนี้ก็ต้องยอมรับว่าตลาดหุ้นไทย "ดูไม่ดี" เอาซะเลย นับตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิดตั้งแต่ต้นปี ทำให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจ อีกทั้งปัญหาภายในประเทศที่ไม่น่าจะจบในเร็ววัน
การลดลงของหุ้นไทยหลายๆตัวก็อยู่ในระดับที่ "ต่ำมาก" และไม่น่าจะลงไปมากกว่านี้ได้อีก แต่ด้วยการขายของนักลงทุนต่างชาติที่ยังคงมากอยู่ ทำให้ความน่าจะเป็นของหุ้นไทยจะออก "Sideway" ซะมากกว่า
คำว่า Sideway ในมุมของนักลงทุน คือ ขึ้นๆลงๆ หรืออยู่ที่เดิม หุ้นขึ้นบางกลุ่ม ทำให้หุ้นอีกกลุ่มโดนเทขาย ...
ประเด็นสำคัญ คือ นักลงทุนจะเลือกลงทุนในตลาดหุ้น Sideway ได้อย่างไร ?
1. บางคนอาจจะคิดว่า ถ้าอย่างนั้นขายหุ้นทิ้งไปให้หมด และถือเงินสด
ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ แต่ถ้าเราพิจารณาให้ดี การถือเงินสดไว้เฉยๆ เราแทบจะไม่ได้ "ผลตอบแทน" อะไรเลย การถือหุ้นเอาไว้บ้างอย่างน้อยเราก็ยังได้ปันผลในระดับ 4-5% ที่ยังชนะเงินเฟ้อ
ยิ่งถ้าเราคิดอีกว่า จะกลับเข้ามาตอนตลาดฟื้นตัว นั้นก็อาจจะเป็นเรื่องผิดพลาด
เพราะประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา แทบไม่มีใครรู้เลยว่าตลาดฟื้นตัว
และยิ่งเราจับจังหวะมากเท่าไร เราก็ยิ่งพลาดมากเท่านั้น
2. ไปลงทุนต่างประเทศ
นี้ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ยิ่งการลงทุนปัจจุบันเข้าถึงง่าย ทั้งลงทุนเอง หรือซื้อหน่วยลงทุนผ่านกองทุนรวม แต่ปัจจัยเสี่ยงสำคัญคือ "เราไม่เข้าใจ" สภาวะความเป็นไปของประเทศนั้นๆเลย
การลงทุน ถ้าเราไม่เข้าใจ ถือเป็นความเสี่ยงสำคัญ
ดังนั้น การลงทุนในหุ้นไทย ที่เราเข้าใจและราคาหุ้นใหญ่หลายๆตัวน่าสนใจ จะลงทุนอย่างไรในสภาวะตลาด Sideway แบบนี้
... นี้เป็นข้อคิด 3 ข้อ ที่เราต้องปรับใช้ครับ
1. เลือกหุ้น P/E, P/BV ต่ำ
P/E, P/BV ต่ำ บ่งบอกว่าหุ้นราคาไม่แพงมาก คนไม่คาดหวังกับการเติบโตจึงให้มูลค่าที่ต่ำ ถ้าบริษัทผ่านพ้นช่วง COVID หรือผ่านพ้นช่วงสภาวะ Sideway ไปได้ โอกาสที่เราจะได้กำไรทั้งส่วนต่างและปันผลที่เพิ่มขึ้น ก็มีอยู่
แต่การใช้ค่า P/E, P/BV ก็เป็นดาบสองคม
ด้านหนึ่งบอกว่าเป็นหุ้นถูก
อีกด้านบอกว่าเป็นหุ้นตะวันตกดิน นักลงทุนเลยไม่ให้มูลค่าอะไรมาก
ดังนั้น ก่อนที่จะใช้ค่า P/E, P/BV ต้องเข้าใจธุรกิจของบริษัทซะก่อน
2. คุณภาพของบริษัท
นอกจากหุ้นที่เราเลือกจะเป็นหุ้นเติบโตแล้ว อีกปัจจัยสำคัญไม่แพ้กันคือ "คุณภาพ" ของบริษัทควรจะดีมากๆ หมายถึงความสามารถในการแข่งขันที่สูงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
>> บริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมที่ยังไปได้ มีการเติบโต
>> ผลประกอบการมีความมั่นคง ไม่ผันผวน งบดุลแข็งแรง
>> ผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) > 15% ต่อปี
3. ต้องมีปันผล
ในสภาวะของตลาด Sideway สิ่งหนึ่งที่จะทำให้หุ้นไม่ลงมาก หรือมี Downside Risk ที่จำกัด คือ "อัตราการปันผล"
ในช่วงที่ตลาดแกว่งตัวออกข้างแบบนี้ สิ่งที่นักลงทุนจะได้รับคือ ปันผล ดังนั้นอย่าลืมเรื่องของปันผล โดยพิจารณาว่า
>> บริษัทมีปันผลเป็นกี่เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับราคา
>> ช่วงวิกฤตที่ผ่านมา บริษัทปันผลมากน้อยแค่ไหน
นี้ก็เป็น 3 ข้อต้องรู้ของนักลงทุนที่จะลงทุนในตลาด Sideway
อย่าลืมว่างานของนักลงทุน คือ ติดตามตลาดหุ้น และมองหาโอกาสอยู่ตลอดเวลา ....