" หุ้นลง เพราะมีคนขายมากกว่าคนซื้อ "
ประโยคนี้ได้กลายเป็นประโยคสุดคลาสสิคไปแล้ว สำหรับนักลงทุนที่ชอบถามว่าทำไมหุ้นตัวนี้พื้นฐานดี แต่ราคาถึงลง
ถ้าเราถามนักลงทุนเน้นคุณค่าเราจะได้รับคำตอบว่า "หุ้นลงเป็นเพราะธรรมชาติของตลาดหุ้นออกแบบมาให้เป็นแบบนั้น มีขึ้นมีลง" แต่สิ่งสำคัญ คือ เราจะหาโอกาสจากการลงของหุ้นได้หรือไม่ ..
ถ้าเราถามนักเก็งกำไร เราจะได้รับคำตอบว่า "หุ้นลงเพราะมีแรงขายมากกว่าแรงซื้อ"
... แต่เราไม่จำเป็นต้องรู้สาเหตุเพราะราคาหุ้นสะท้อนทุกสิ่ง
สิ่งที่เราควรรู้คือจังหวะไหนเราควรจะซื้อ จังหวะไหนควรจะขาย
อย่างไรก็ตาม ถ้าพูดในเชิงสถิติแล้ว พฤติกรรมของราคาหุ้นที่ลงแรง มักมีสาเหตุมาจาก 5 เหตุผลด้วยกันหลักๆ มีอะไรบ้างมาดูกัน ...
สาเหตุที่ 1 ผู้ถือหุ้นใหญ่ขาย!
ถ้าสมมุติฐานที่บอกว่า หุ้นลงเพราะแรงขายมากกว่าแรงซื้อ เราจำเป็นต้องเชื่อในเหตุผลนี้ ผู้ถือหุ้นใหญ่มีหุ้นจำนวนมาก และการที่เขาขายออกมาย่อมเป็นสาเหตุที่หุ้นลงแรง
ผู้ถือหุ้นใหญ่อาจจะหมายถึงนักลงทุนรายย่อยที่เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท หรือนักลงทุนสถาบัน
ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่ขายออกมาทำไม ?
แยกออกมาได้ 2 ประเด็นคือ
1. ถ้าเป็นนักลงทุนสถาบัน กองทุน การขายย่อมเป็นปกติการขายทำกำไร
2. แต่ถ้าเป็นผู้ก่อตั้งที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ อาจจะบ่งบอกว่าบริษัทมีการเปลี่ยนพื้นฐานอย่างมีนัยยะสำคัญ
นั้นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไม นักลงทุนจะต้องดูยอดการซื้อขายของผู้ถือหุ้นอย่างม่ำเสมอ ....
สาเหตุที่ 2 บทวิเคราะห์ของโบรคเกอร์ มีมุมมองในเชิงลบ
ในเชิงสถิติแล้ว บทวิเคราะห์ที่เปลี่ยนจากคำแนะนำ "ซื้อ" เป็น "ขาย" จะมีอิทธิพลต่อนักลงทุนมากกว่าบทวิเคราะห์ที่เปลี่ยนจาก "ขาย" เป็น "ซื้อ"
เพราะว่า นิสัยนักลงทุนจะมีนิสัยตื่นตระหนกต่อปัจจัยลบมากกว่าปัจจัยบวก โดยเฉพาะ "ข่าวลือ" ที่ว่ากันว่าโบรคเกอร์อาจจะมีการปรับเป้าใหม่ซึ่งอยู่ระหว่างการปรับเป้าราคา ข่าวประเภทนี้จะมีความเซ็นซิทีฟต่อความรู้สึกนักลงทุนเป็นพิเศษ
โดยทั่วไปแล้ว ถ้าบทวิเคราะห์แนะนำ "ขาย" นักลงทุนจะเริ่มพิจารณาขายทันที
ในขณะเดียวกันถ้าบทวิเคราะห์แนะนำ "ซื้อ" นักลงทุนจะเกิดคำถามขึ้นในใจว่า เราควรซื้อจริงๆใช่หรือไม่ ?
อย่างไรก็ตาม บทวิเคราะห์นอกจากจะวิเคราะห์พื้นฐาน Fundamental ของบริษัทแล้ว อาจจะวิเคราะห์ข่าวสารที่กระทบกับบริษัทในระยะสั้นด้วย การแนะนำขายในระยะสั้น อาจจะเป็นโอกาสทองของนักลงทุนระยะยาว
สาเหตุที่ 3 ผลประกอบการไม่ดี
สาเหตุ 2 ข้อดังกล่าวข้างต้นเป็นเรื่องของความรู้สึก แต่สำหรับสาเหตุที่ 3 แล้วเป็นเรื่องของพื้นฐาน ในบางครั้งบริษัทประกาศผลประกอบการที่ไม่ดี ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้หุ้นลงแรง
สิ่งแรกที่นักวิเคราะห์จะให้ความสนใจ คือ Gross Margin หรืออัตรากำไรขั้นต้น
ถ้าสิ่งนี้มีอัตราที่ลดลง จะมีมุมมองเป็นลบทันทีต่อการประกาศผลประกอบการไตรมาสนั้น
... ถ้าสมมุติว่าอัตรากำไรสุทธิไม่มีปัญหา สิ่งที่ต้องดูต่อมา คือ ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการขายและบริหาร (SG&A) เป็นอย่างไร บริษัทมีความสามารถในการควบคุมค่าใช้จ่ายตรงนี้ได้ดีหรือไม่
สิ่งที่นักลงทุนควรดู คือ ผลประกอบการประจำไตรมาส ว่าบริษัทมีพัฒนาการเป็นอย่างไร หุ้นที่ผลประกอบการโตเร็วมาก ส่งผลให้ราคาหุ้นพุ่ง แต่อย่าลืมว่าความยากลำบากในการรักษาการเติบโต จะเป็นปัญหาในปีหน้า
โดยทั่วไปจะเป็นการยากที่จะทำให้บริษัทรักษาการเติบโตเป็นเลขสองหลักไปตลอดรอดฝั่ง
สุดท้ายการเติบโตก็จะช้าลง ส่งผลให้หุ้นลดแรงด้วยเช่นกัน
สาเหตุที่ 4 ความคาดหวังของนักลงทุนที่มากเกินไป
เป็นสิ่งสืบเนื่องจากข้อที่ 3 หุ้นที่ผลประกอบการดีมาก ราคาหุ้นที่พุ่งได้แบกรับความคาดหวังของคนในตลาดว่าหุ้นจะต้องเติบโตต่อไป
"ความคาดหวัง" คือเหตุผลอันดับต้นๆที่ทำให้นักลงทุนรายย่อยขาดทุน คาดหวังต่อผลประกอบการว่าจะต้องออกมาดี ในไตรมาสหน้า หรือปีหน้า
... ซึ่งสิ่งที่จะบ่งบอกได้ว่าหุ้นตัวนั้นมีความคาดหวังสูงขนาดไหนดูได้จาก 2 สิ่ง คือ
1. ค่า P/E : ค่า P/E ยิ่งสูงมากแสดงว่าความคาดหวังมาก
2. ราคาหุ้นที่ขึ้นมามากแล้ว : ราคาหุ้นคือสิ่งสะท้อนความรู้สึกต่อคนในตลาด ถ้ามีใครมาไล่ราคาหุ้นให้ขึ้นไปแสดงว่าใครคนนั้น ได้คาหวังบางสิ่งบางอย่างจากหุ้นตัวนั้น เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้นจริง สิ่งที่ตามมาคือ Sell on Fact หรือขายเมื่อข่าวดีออกมาแล้ว นั้นเอง
สาเหตุที่ 5 พื้นฐานเปลี่ยน
"พื้นฐาน คือเจ้ามือหุ้นที่แท้จริง"
หุ้นที่พื้นฐานดีส่งผลให้ผลประกอบการออกมาดีอย่างยั่งยืน หมายความว่า บางไตรมาสอาจจะมีสะดุดบ้าง หรือลดลงบ้างแต่ถ้าพื้นฐานของบริษัทยังดีอยู่ ในระยะยาวแล้วมีแนวโน้มที่จะดีขึ้นต่อไปเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม ปัญหาจะเกิดก็ต่อเมื่อพื้นฐานหุ้นได้เปลี่ยนไปแล้ว เช่น พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป สินค้าบางอย่างของบริษัทมีกฏหมายเข้ามาควบคุม หุ้นเหล่านี้จะโดนเทขายอย่างหนักทำให้ราคาหุ้นลงได้
ดังนั้น นักลงทุนจำเป็นจะต้องติดตามบริษัทที่ตัวเองลงทุนอย่างใกล้ชิด ฟัง Opp day ผ่านตลาดหลักทรัพย์ ติดตามผลประกอบการสม่ำเสมอ อ่านรายงานประจำปีเพื่อดูสิ่งที่บริษัทได้ทำในแต่ละปี
พื้นฐานของบริษัทจะเปลี่ยนอย่างช้าๆ
ถ้านักลงทุนที่ติดตามอย่างใกล้ชิดจะมีโอกาสพลาดได้น้อยมาก ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า "เปลี่ยนชั่วข้ามคืน" ในตลาดหุ้น