วิกฤติโควิด ที่กำลังลามเป็นวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2563 นี้ ได้ส่งผลกระทบรุนแรง ต่อหลายธุรกิจ ทั่วทุกมุมโลก
และแน่นอนว่า กระทบตลาดหุ้นทั่วโลกด้วย
นับจากต้นปี Year to Date ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวน และส่วนใหญ่ยังคงผันผวนในแดนลบ
แม้แต่ตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว(DM Developed Market) อย่างยุโรป รวมทั้งหลายตลาดในเอเชีย
ตลาดหุ้นอังกฤษ FTSE100 -20% , ตลาดหุ้นฝรั่งเศส CAC -17%, ตลาดหุ้นอิตาลี FTSEMIB -18% , ตลาดหุ้นสเปน IBEX -27%, ตลาดหุ้นมาเลเซีย KLCI -4% , ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย JCI -20% , ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ PCOMP -23%, และตลาดหุ้นสิงคโปร์ STI -21% (ข้อมูลณ. 12 ต.ค. 63)
ตลาดหุ้นที่กลับขึ้นไปยืนเหนือก่อนช่วงโควิดได้อย่างโดดเด่น หนึ่งในนั้น คือ “ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา”
แน่นอนว่ามาจากหลายเหตุผล ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจที่หนักหน่วงและรุนแรง นโยบายดอกเบี้ยต่ำที่ชัดเจน และนโยบายการรักษาสมดุลระหว่างการสู้สงครามโควิด กับสู้สงครามเศรษฐกิจไปพร้อมๆกัน รวมไปถึงกองทุน ETF อเมริกา ที่ออกขายทั่วโลกช่วยระดมทุนมาเป็นฟันโฟลว์ไหลเข้าให้ตลาดแห่งนี้มากขึ้นไปอีก
ตลาดหุ้นอเมริกา 3 ดัชนีหลัก ผลงาน YTD ปัจจุบันคือ DJ +0% , S&P500 +8% และ NASDAQ +31%
ความน่าสนใจอยู่ที่ ตลาดหุ้น NASDAQ ที่กลับเติบโตสวนทางกับตลาดหุ้นทั่วโลก ในโมงยามแห่งวิกฤตโควิด19
เหตุผลเฉพาะตัวของ NASDAQ คือ เป็นตลาดหุ้นเทคโนโลยี ธุรกิจแห่งอนาคต ที่กำลังกลืนกินธุรกิจแบบดั้งเดิม ที่เราเรียกกันว่า Digital Disruption โดยมีวิกฤตโควิดมาเร่งปฏิกิริยาการเติบโตให้มากขึ้นไปอีก
ลองสำรวจกิจการในตลาดหุ้น NASDQ ตัวใหญ่หัวแถว ที่เราเรียกกันว่ากลุ่มฟางแมน (FANGMAN) คือตัวย่อของหุ้นเทคโนโลยีที่มีมาร์เกตแคปใหญ่ เติบโตทั้งในแง่ลูกค้า รายได้ และกำไร ได้แก่ Facebook., Apple, NVIDIA, Google., Microsoft, Amazon, และ Netflix นี่คือบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดระดับท้อปของโลก
เท่านั้นยังไม่พอ NASDAQ ยังมีกิจการเทคโนโลยีระดับโลกอีกมากมาย ที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีเยี่ยม เช่น Tesla, Zoom, Ebay, Intel, NetEase, JD.com, Baidu, Paypal ฯลฯ
หันมามองตลาดหุ้นไทย
นับจากต้นปี 2563 มา เราผ่านสารพัดวิกฤติ ทั้งเศรษฐกิจ โควิด และการเมือง ดัชนี SET on Sale ไปแล้ว -21% ในขณะที่ SET50 on Sale -25% หนักกว่าอีก
เหตุผล... มาจากหลายๆเหตุผลครับ หนึ่งในนั้นคือเรื่องโครงสร้างของหุ้นในตลาด ที่ไม่อาจตอบโจทย์ในวิกฤต
โครงสร้างของหุ้นในตลาดหุ้นไทย อุดมสมบูรณ์ไปด้วยธุรกิจที่ไม่สามารถต้านทานวิกฤตโควิด ได้ และอาจต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวนาน
ลองดู Market Cap ล่าสุดของ SET เกินกว่าครึ่ง (60%) มาจาก 5 กลุ่ม คือ อันดับ1 กลุ่มพลังงาน, อันดับ2 กลุ่มค้าปลีก, อันดับ3 กลุ่มขนส่ง, อันดับ4 กลุ่มสื่อสาร, และ อันดับ5 กลุ่มธนาคาร
ต้องเรียนว่า ... ในภาวะปกติ 5 อันดับนี้เป็น Market Cap ที่ใหญ่กว่า 60% ด้วยซ้ำ ลองนึกถึงกลุ่มธนาคาร ที่ลดราคามาเกือบครึ่งหนึ่ง year to date หรือกลุ่มพลังงาน น้ำมัน ปิโตร ที่ลดลงมามากกว่า 30% ปัจจุบันยังคงเป็นน้ำหนักส่วนใหญ่ของตลาดอยู่เลย
กลุ่มที่มีน้ำหนักมากต่อตลาด บ้างก็มีความเป็นหุ้นวัฏจักร ที่กำลังอยู่ในช่วงขาลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ บ้างก็ผูกกับการเดินทางระหว่างประเทศ บินไม่ได้ก็ยังเดียวดายต่อไป บ้างก็ผูกกับนักท่องเที่ยวต่างชาติปีละ 40 ล้านคน พวกเขาหายไป กำลังซื้อก็หายไป กระทบกับรายได้และการบริโภคในประเทศอีก และบางกลุ่ม กำลังมีความเสี่ยงกับหนี้เสีย NPL ถ้าคุมอยู่ก็รอดรอฟื้น ถ้าคุมไม่อยู่ก็น่ากังวล
แต่ทุกกลุ่มที่ว่ามา มีโอกาสฟื้นตัวหลังวิกฤติได้ทั้งสิ้น เพียงแต่ต้องใช้เวลา
รอรอบวัฏจักร รอรอบการเดินทาง รอความมั่นใจ ด้วยความที่ต้องรอ ... ตลาดเลยลดราคามาให้ -25% นี่ไง
ตรงจุดนี้ ใครอยากจะ bet กับตลาดที่ลดราคา -25% มา หรือ ตลาดที่เพิ่ง +30% มาในปีนี้
อันนี้ไม่มีถูกผิด แล้วแต่ความชอบเลย
สุดท้าย Stock Selection ก็เป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าลงทุนตลาดไหนก็ตามครับ