#แนวคิดด้านการลงทุน

5 ข้อต้องรู้ IPO แบบนี้ ... พี่จะไม่ยุ่ง

โดย Stock Vitamins - วิตามินหุ้น
เผยแพร่:
187 views

ช่วงนี้มีหุ้นใหม่เข้าตลาดค่อนข้างเยอะ หุ้นหลายบริษัทเปิดวันแรก กำไรเป็น 100% ทำให้หลายคนเกิดภาพจำว่า หุ้นใหม่วิ่งแรง อยากจองกันทุกตัว ถ้าจองไม่ได้ ก็ซื้อกันวันแรก บางตัวก็ได้กำไร แต่บางตัวก็ขาดทุน เปิดโดด ปิดแดง วันต่อมาลงอีก

วิตามินหุ้นอยากชวนคุยสบายๆ ว่าหุ้น IPO แบบไหนที่เราไม่ควรยุ่ง


 ก่อนอื่นเลย เวลาสนใจหุ้น IPO อยากให้ลองคิดเหมือนกับว่า มีเพื่อนเก่าเรียนโรงเรียนเดียวกัน บางคนเรารู้จัก บางคนแค่คุ้นหน้า แล้วพอเรียนจบ เค้ามาชวนเราหุ้นกันทำธุรกิจ เราจะตอบตกลงมั้ย


1. พื้นฐานไม่ดี กำไรไม่ปรากฏ
หุ้น IPO ทุกตัวที่เข้าตลาดจะมีเอกสาร Filing แบบละเอียดยิบให้เราได้อ่านกันว่า ทำธุรกิจอะไร งบการเงิน 3 ปี ย้อนหลังเป็นอย่างไร สภาพตลาดและการแข่งขันดุเดือดแค่ไหน แผนการในอนาคตเอาเงินไปทำอะไร

ถ้าเราอ่านแล้ว ดูตัวเลขแล้ว เห็นว่าพื้นฐานไม่ดี กำไรเติบโตลดลงทุกปี มีแต่หนี้สิน สต๊อกบวม หรือการแข่งขันสูง ดูทรงแล้วแนวโน้มไม่น่าจะดี ก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งตั้งแต่แรก หรือถ้าอ่านแล้วปวดหัว ไม่เข้าใจธุรกิจ ไม่รู้ว่าขายอะไรกันแน่ แบบนี้พี่ก็จะไม่ยุ่ง


2. ขายฝันวันนี้ แต่ราคาไปรออนาคตแล้ว
แน่นอนว่า หุ้นที่กำลังจะเข้าตลาด จะมีแต่สตอรี่ดีๆ มาขายเรา มาชวนให้เราลงทุนด้วย เราต้องพิจารณาว่า ความฝันที่เขาขายมันน่าสนใจมั้ย มันจะเป็นจริงได้แค่ไหน และเมื่อไหร่ บางทีฝันอาจเป็นจริงได้ แต่ใช้เวลานาน เรารอไหวมั้ย บางทีฝันซะไกล ดูแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้เลย

แต่ที่เจอบ่อย คือ ความฝันดูเป็นไปได้ ฟังแล้วใจเต้นแรง แต่พอบอกราคาขายมาเท่านั้นไปต่อไม่เป็นเลย คือ ราคานี้คิดกำไรไปแล้วว่าสิ่งที่พูดมาจะเกิดขึ้นได้จริง ไม่ได้มีส่วนลดหรือส่วนเผื่อความผิดหวังว่าจะตื่นขึ้นมากลางดึกก่อนฝันจบเลย ถ้ามาแบบนี้ พี่ก็จะไม่ยุ่ง


3. เข้ามาเพื่อ Exit
มีหลายกรณีที่เราพบเห็น เช่น บริษัทอยู่ในธุรกิจอิ่มตัว เริ่มเห็นแววว่าจะไปต่อไม่ไหว ตอนนี้กำไรยังพอดูดีอยู่ ถ้าเข้าตลาดช้ากว่านี้ งบอาจจะไม่สวย รีบเข้าตลาดมาก่อนดีกว่า

บางกรณีเป็นธุรกิจกงสี กำลังส่งต่อสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน อยากเข้าตลาดเพื่อจะได้จัดสรรเรื่องเงินทอง เรื่องระบบให้ลงตัว ไม่ต้องมาทะเลาะกัน หรือบางทีลูกหลานไม่อยากสานต่อกิจการ ก็จะได้จ้างมืออาชีพมาบริหารงาน และมีตลาดหุ้น นักลงทุน นักบัญชีตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ

ถ้าเป็นเคสนี้ก็จะมีทั้งดีและไม่ดีต้องว่ากันไปแต่ละบริษัท เพราะบางครั้งเป็นกงสีมาไม่มีระบบมาก เข้าตลาดมีระบบขึ้น ได้เห็นโอกาสมากขึ้น บริษัทโตต่อก็มี แต่บางเคสเข้ามาแล้วนิ่งๆ ก็มีเหมือนกัน

บางกรณีหนี้ท่วมบริษัท เข้าตลาดมาเพื่อเอาเงินไปชำระหนี้ ก็จะมีสองแบบ คือ ลงทุนขยายกิจการไว้ก่อนด้วยเงินตัวเอง เข้าตลาดได้เงินไปคืนหนี้ หายใจคล่องขึ้น ถ้าลงทุนถูกก็โตต่อได้ แต่ถ้าเป็นกรณีที่บริหารกิจการไม่ดีอยู่แล้ว ก่อหนี้ไว้เยอะ เอาเงินไปใช้หนี้สิน แต่โตต่อไม่ได้ แบบนี้พี่ก็จะไม่ยุ่ง


4. มีพฤติกรรมอำพรางก่อนเข้าตลาด
เวลาอ่าน Filing จะมีข้อมูลบางอย่างเขียนอยู่ระหว่างบรรทัดที่อาจจะไม่ได้เอามาพูดให้นักลงทุนฟังกัน แต่สำคัญ และดูแปลกๆ อยู่บ้าง เช่น มีการขายหุ้นราคาต่ำกว่า IPO ให้กับผู้ถือหุ้นเดิมล่วงหน้า ก็จะทำให้เกิดความได้กำไรตั้งแต่ยังไม่เข้าตลาด

หรือบางทีมีการกู้เงินมาเยอะในปีก่อนหน้า แล้วเอามาจ่ายปันผล หรือมีการจัดสรรหุ้นให้กับผู้มีอุปการคุณเยอะ เราก็ต้องเอามาพิจารณาแต่ละกรณีไปว่าทำไปทำไม ดีหรือไม่ดีอย่างไร


5. เล่นกันมันส์ แค่วันเดียว
ช่วงนี้เราเจอเคสนี้บ่อย โดยเฉพาะหุ้นที่เข้ามาด้วยจำนวนไม่เยอะหลักไม่กี่สิบไม่กี่ร้อยหุ้น คือ ถ้ามีคนสนใจซื้อเยอะจริงๆ ใช้เงินแค่ไม่กี่ร้อยล้านบาท หุ้นก็วิ่งขึ้นได้ไกล แต่ที่เจอคือ วิ่งกันมันส์ระเบิดแค่วันแรก พอวันต่อมาก็ร่วงลงมากันหมด ปัญหาก็คือ หลายคนเห็นแบบนี้ทุกวัน เลยเคาะ ATO กะว่า เดี๋ยวขึ้นนิดหน่อยจะขายทำกำไร สุดท้ายไม่ได้ขายและพอหุ้นร่วงลงมาก็ตัดใจขายขาดทุนกันไม่ลง

กรณีนี้อยากให้คิดแบบนี้ว่า "ถ้าราคาจองเรายังมองว่าแพง แล้วจะมาไล่ราคาในตลาดทำไม"

ถ้าเราสนใจหุ้นบริษัทนี้จริง พื้นฐานดีจริง เรารอให้เห็นความชัดเจนของงบในอนาคต หรือรอให้ราคาหายฝุ่นตลบก่อนค่อยเข้าไปซื้อก็น่าจะดีกว่า


>> วังวนความเร้าใจของหุ้น IPO ยังคงมีมาให้เราเห็นอีกเรื่อยๆ อยากให้ทุกคนลองพิจารณากันให้ดีก่อนลงทุนทุกครั้งนะครับ อย่างที่บอกเพื่อนสมัยเรียนมาชวนเราทำธุรกิจด้วยกัน มองหน้าเพื่อน คิดถึงอดีตของเพื่อน ฟังสิ่งที่เพื่อนเล่าให้ฟัง แล้วถามตัวเองหลายๆ รอบว่า จะเดินไปด้วยกันมั้ย


ผู้ชนะแข่งขันโครงการ Stock Writer ของ stock2morrow

https://www.facebook.com/pg/stock.vitamins

Facebook

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง