นับจากต้นปี 2020 มา ดัชนี SET on Sale ไปแล้ว -20%
ในขณะที่ SET50 on Sale -25% หนักกว่าอีก
เหตุผล... มาจากหลายๆเหตุผลครับ
หนึ่งในนั้นคือเรื่องโครงสร้างของหุ้นในตลาด
มองไปที่หุ้นเทคโนโลยี ใน NASDAQ อเมริกา
ที่ผ่านการทดสอบ bullet proof (กันกระสุน) ราคาหุ้นย่อในเดือนมีนา แล้วก็สามารถไปต่อ สร้างการเติบโตเพิ่มได้ แม้ในยุคโควิด อย่าง Apple, Amazon, Facebook, Microsoft, Qualcomm, AMD etc
ราคาหุ้นก็ปรับเพิ่มขึ้นมาก สูงเกินช่วง Pre-Covid ทำออลไทม์ไฮไปเรื่อยๆ
ยิ่งหุ้นเทคฯ ขึ้น ETF และ กองทุนรวมต่างประเทศจากทั่วโลก ยิ่งเรียกระดมพลเอาเงินสดจากทั่วโลกไปถมเพิ่มขึ้นเรื่องๆ
แพงแล้วแพงต่อได้อีก
หันมามองตลาดหุ้นไทย (ที่จริงรวม Emerging Market อีกหลายแห่ง)
เหตุผลที่หุ้นลดลงมาก หนึ่งในนั้น คือ โครงสร้างของหุ้นในตลาด อุดมสมบูรณ์ไปด้วยธุรกิจที่ไม่สามารถต้านทาน วิกฤตโควิด ได้ และอาจต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวนาน
ลองดู Market Cap ล่าสุดของ SET 60% มาจาก 5 กลุ่ม
No.1 กลุ่มพลังงาน
No.2 กลุ่มค้าปลีก
No.3 กลุ่มขนส่ง
No.4 กลุ่มสื่อสาร
No.5 กลุ่มธนาคาร
ต้องเรียนว่า ... ในภาวะปกติ 5 อันดับนี้เป็น Market Cap ที่ใหญ่กว่า 60% ซะอีกนะ ลองนึกถึงกลุ่มธนาคาร ที่ลดราคามาเกือบครึ่งหนึ่ง year to date หรือกลุ่มพลังงาน น้ำมัน ปิโตร ที่ลดลงมามากกว่า 30%
บางกลุ่ม เป็นหุ้นวัฏจักร ที่กำลังอยู่ในช่วงขาลงของราคาผลิตภัณฑ์ commodity
บางกลุ่ม ผูกกับการเดินทางระหว่างปนะเทศ บินไม่ได้ก็ยังเดียวดายต่อไป
บางกลุ่ม ผูกกับนักท่องเที่ยวต่างชาติปีละ 40 ล้านคน พวกเขาหายไป กำลังซื้อก็หายไป กระทบกับรายได้และการบริโภคในประเทศอีก
และบางกลุ่ม กำลังมีความเสี่ยงกับหนี้เสีย NPL ถ้าคุมอยู่ก็รอดรอฟื้น ถ้าคุมไม่อยู่ก็ได้กลิ่น "เครื่องต้มยำ" ลอยโชยมาไกลๆ
ทุกกลุ่มที่ว่ามา มีโอกาสฟื้นทั้งสิ้น เพียงแต่ต้องใช้เวลา
รอรอบวัฏจักร รอรอบการเดินทาง รอความมั่นใจ
ด้วยความที่ต้องรอ ... ตลาดเลยลดราคามาให้ -25% นี่ไง
ตรงจุดนี้ ใครอยากจะ bet กับตลาดที่ -25% มา
หรือ ตลาดที่ +30% +29% ติดมาสองปี
อันนี้ไม่มีถูกผิด แล้วแต่ความชอบเลย
สุดท้าย Stock Selection ก็เป็นเรื่องสำคัญ
ไม่ว่าลงทุนตลาดไหนก็ตามจร้า