ช่วงนี้ มีหุ้นใหญ่หลายตัวในตลาดหลักทรัพย์ ที่มีกิจกรรมทางการเงิน “เพิ่มทุน” หลายตัว มีทั้งที่เพิ่งผ่านไปแบบสำเร็จเรียบร้อยคือ MINT บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ที่มีการเพิ่มทุน และแจกวอร์แรนต์ (MINT-W7) ด้วย
และมีหุ้นที่เป็นที่สนใจของนักลงทุนรายย่อย ที่เพิ่งประกาศเรียกเพิ่มทุน อย่าง GULF AMATA JMART และ JMT ก็มีนักลงทุนจำนวนมากสงสัยเรื่อง เพิ่มทุน ขออธิบายดังนี้ครับ
การเพิ่มทุน เป็นวิธีการหาเงินทุนของบริษัทวิธีหนึ่ง ยกตัวอย่างบริษัทที่ทำธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง ที่เป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์ เลี้ยงสัตว์ และอาหารมนุษย์ ดำเนินการขยายโรงงาน ขยายผลิตภัณฑ์ กระทั่งมาถึงจุดที่กิจการจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก เพื่อขยายกำลังการผลิตต่างประเทศ และเตรียมตัวเข้าสู่ธุรกิจใหม่ในลักษณะ Holding Company
บริษัทมีแหล่งเงินทุนอยู่ 3 แหล่ง เป็นทางเลือกคือ
หนึ่ง..เงินสดจากการดำเนินงาน
สอง..กู้ เช่น กู้ธนาคารหรือออกหุ้นกู้
และ สาม..เรียกเพิ่มทุนขอเงินจากผู้ถือหุ้น
บริษัทโดยทั่วไปจะใช้วิธีที่หนึ่งก่อน ถ้าไม่พอก็วิธีที่สอง คือการกู้เงิน ซึ่งการออกหุ้นกู้ จะให้ต้นทุนการเงินที่ต่ำสุด แต่ถ้าออกหุ้นกู้ไม่ได้ ต้องไปกู้แบงค์ก็จะมีต้นทุนทางการเงินที่สูงกว่าการออกหุ้นกู้
และถ้าวิธีที่ 1 และ 2 เอาไม่อยู่แล้วจริงๆ หรือกู้เต็มเพดานไปแล้ว จึงจะใช้วิธีที่สาม คือ เรียกเพิ่มทุน ซึ่งมี 2 แบบ คือ
1. เพิ่มทุนเฉพาะเจาะจง (PP : Private Placement) ชื่อทางการคือ “จัดสรรให้กับบุคคลในวงจำกัด” เช่น เมื่อหลายปีก่อน หุ้น WORK เพิ่มทุน PP ให้กลุ่มเดนท์สึจากญี่ปุ่น หรือหุ้น GLOBAL เพิ่มทุน PP ให้เครือปูนซีเมนต์ไทย แบบนี้นักลงทุนยังคงรู้สึกดี เพราะแม้การเพิ่มทุนจะทำให้จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้น กำไรต่อหุ้นลดลง... แต่การได้พาร์ทเนอร์เข้ามาเสริมแกร่งย่อมเป็นข่าวดี อีกทั้งการเพิ่มทุนแบบ PP ยังไม่ได้หมายถึงความต้องการเงินทุนเท่านั้น แต่มีนัยยะของการ “แต่งงานทางธุรกิจ” ที่คู่ค้าต้องการเป็นหุ้นส่วน เข้าร่วมธุรกิจและร่วมลงเงินเพื่อเป็นเจ้าของด้วย
2. เพิ่มทุนรอบวงตามสิทธิ (RO : Right Offering) ชื่อทางการคือ “จัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น” ใครถือหุ้นอยู่ ถ้าต้องการซื้อหุ้นเพิ่มทุนก็ต้องเอาเงินสดมาจ่ายตามสัดส่วนการเพิ่มทุน แบบนี้ในระยะสั้นนักลงทุนไม่ชอบ เพราะต้องเติมเงินสด “ธุรกิจที่ดีต้องสร้างเงิน ไม่ใช่มาขอเงิน” การเพิ่มทุนแบบ RO จะทำให้ราคาหุ้นบนกระดานลดลงด้วย เนื่องจากว่าจะมีหุ้นชุดใหม่เข้ามา มีผลทำให้ผู้ถือหุ้นเดิมมีสัดส่วนความเป็นเจ้าของในบริษัทน้อยลง ซึ่งหมายถึงส่วนแบ่งกำไรต่อหุ้นที่จะได้ และเงินปันผลต่อหุ้นก็จะได้ลดลง สิ่งนี้เรามักจะได้ยินในตลาดเรียกกันว่า “Dilution Effect”
แต่การเพิ่มทุน ยังมีมุมมองระยะสั้น vs. ระยะยาว กล่าวคือ ถ้าเพิ่มทุนเพื่อเอาเงินไปขยายงาน กว่าโครงการขยายจะแล้วเสร็จ กว่าลูกค้าจะรับรู้ความยอดเยี่ยมของสินค้าใหม่ ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปี แบบนี้ระยะสั้น รายได้ยังไม่เพิ่ม แต่ในระยะยาว เมื่อผลประกอบการออกมาดีขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่าราคาหุ้นควรต้องขึ้นตามผลประกอบการไปด้วย
หุ้นบางตัว มีกิจกรรมจัดหาเงินโดยการเพิ่มทุนทั้งสองแบบ คือ การเพิ่มทุนขายนักลงทุนแบบ Right Offering (RO) ด้วย และยังออกขายหุ้นเพิ่มทุนแบบ Private Placement (PP) สิ่งต่างๆเหล่านี้มักจะเป็นปัจจัยกดดันราคาหุ้นในระยะสั้นหลังประกาศเพิ่มทุนเสมอ
ดังนั้นหุ้นที่ประกาศเพิ่มทุน โดยมีรายละเอียดที่ยังเปิดเผยไม่ครบ เช่น จำนวนหุ้นเพิ่มทุน ราคาหุ้นเพิ่มทุน ทั้ง RO และ PP นักลงทุนรายย่อยในตลาดมักเลือกที่จะขายลดความเสี่ยงออกมาก่อนเป็นส่วนใหญ่ จนกว่าจะมีความชัดเจน
สำหรับนักลงทุนที่เห็นว่า หุ้นที่เราสนใจ ประกาศเพิ่มทุนส่งผลให้ราคาบนกระดานปรับลดลงมาแล้ว อยากจะสวนเข้าไปรับต้องเข้าใจดีว่านอกจากเงินลงทุนที่ท่านเข้าไปซื้อหุ้นตัวนี้แล้ว ท่านยังต้องเตรียมเงินสดอีกส่วนนึงไว้เพื่อจ่ายเงินซื้อหุ้นเพิ่มทุนอีกด้วย
หุ้นที่ประกาศเพิ่มทุนจะบอกว่าดีหรือแย่ทันทีคงไม่ได้ สุดท้ายแล้ว ต้องดูที่แผนธุรกิจที่จะนำเงินจากการเพิ่มทุนไปขยาย โครงการดีเพียงใดและมีความน่าเชื่อถือเพียงไร ดังนั้นการเพิ่มทุนจึงมีผลดีในระยะยาว ก็ต่อเมื่อแผนการลงทุนดี และทำได้จริงเท่านั้นครับ