แกะเทปสัมภาษณ์เสี่ยปู่ล่าสุด 7 ต.ค. 2015 รายการเม่าปีกเหล็ก
นักลงทุนทุกคน ล้วนแต่เคยมีแผลและบทเรียน ไม่เว้นแม้แต่นักลงทุนระดับเซียนอย่างเสี่ยปู่ สมพงษ์ ชลคดีดํารงกุล
ซึ่งการที่เสี่ยปู่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเต็มตัวครั้งแรกนั้น เกิดจากการที่เคยทำงานที่สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อติดตามตลาดหุ้น และก็ได้หลงสเน่ห์ของตลาดหุ้นในสมัยของ “ราชาเงินทุน” จนออกมาเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้นครั้งแรกด้วยเงินเก็บประมาณแสนกว่าบาทในปี 2530
โดยการลงทุนในช่วงแรกๆของเสี่ยปู่นั้น จะเน้นเป็นแบบเก็งกำไร เพราะในช่วงนั้นตลาดยังไม่เคยสับขาหลอกเท่าในปัจจุบัน และแล้วบทเรียนและแผลแรกที่ได้มาของเสี่ยปู่ก็คือ วิกฤต Black Monday นั่นเอง ซึ่งทำให้พอร์ทของเสี่ยปู่เสียหายจนแทบไม่เหลือเลยทีเดียว แต่เสี่ยปู่ก็ยังยืนหยัดรอจนตลาดกลับมารีบาวน์อีกครั้ง
ส่วนวิกฤตต้มยำกุ้งนั้น ด้วยความที่เสี่ยปู่เห็นว่าบริษัทเงินทุนน่าจะมีปัญหา แม้จะยังเล่นแบบเก็งกำไรอยู่ แต่ปู่ก็ล้างพอร์ทไปจนเกือบหมด จึงรอดมาได้ ซึ่งในวิกฤตครั้งนั้น แม้แต่หุ้นระดับใหญ่อย่าง KK ที่ Par อยู่ที่ 10 บาท ก็ยังราคาหล่นลงมาเหลือเพียงแค่ 0.91 บาทเท่านั้น!!
เสี่ยปู่จึงได้ซื้อ KK มาที่ราคา 0.91 และขายไปในราคา 2 บาทกว่า แต่ก็กลับกลายเป็นความผิดพลาดอีกครั้งของเสี่ยปู่ เพราะจากนั้นเพียงแค่ 2-3 ปี KK กลับขึ้นมายืนถึง 80 กว่าบาท!! ซึ่งเสี่ยปู่ยอมรับว่าเป็นเพราะไม่เคยดูและรู้พื้นฐานนั่นเอง
จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ประกอบกับการที่เสี่ยปู่ได้รับหนังสือ “วาทะของวอร์เรน บัฟเฟทท์” เป็นของขวัญปีใหม่จาก “คุณมนตรี ศรไพศาล” CEO แห่ง บล กิมเอ็ง จึงทำให้เสี่ยปู่เริ่มมีความสนใจในพื้นฐานหุ้นเป็นอย่างมาก
และเปลี่ยนแนวทางมาจาก เก็งกำไร มาเป็น Value Investor ซึ่งเสี่ยปู่จะเลือกหุ้นที่มีกำไรเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยมีหลักการคือ
1. หุ้นที่อัตรากำไรเจริญเติบโต
2. หุ้นที่มี ROE สูง
3. ธุรกิจมีการแข่งขันไม่มาก
4. ผู้บริหารมีคุณธรรมและความสามารถ
สำหรับตลาดหุ้นในปัจจุบัน เสี่ยปู่มองว่ายังแพงอยู่ ส่วนหุ้นดีๆจะแพง เพราะ VI หลายคนมองพื้นฐานว่าดี จึงซื้อเก็บไว้และไม่ขาย
ส่วนอุตสาหกรรมที่เสี่ยปู่มองว่าแนวโน้มพื้นฐานน่าจะดีก็คือ พลังงานทดแทน แต่ควรดู Valuation และศึกษาความเป็นไปได้ให้ดีๆ เพราะผลตอบแทนในปัจจุบันน้อยลงค่อนข้างมาก