ช่วงนี้กระแสหุ้น IPO กลับมาอีกครั้ง เพราะหุ้นน้องใหม่หลายตัวเข้าตลาดด้วยความร้อนแรง หลายคนได้กำไรเป็นกอบเป็นกำตั้งแต่วันแรกที่เข้าตลาด แต่ก็มีอีกหลายคนที่ขาดทุนมากมายเช่นกัน
วันนี้อยากเล่าเรื่องสมมติของชายคนหนึ่งที่เข้าไปลงทุนกับหุ้น IPO 4 บริษัทให้ฟังกันครับ
- หุ้นตัวแรก ชอบไวรัส ไม่รักวัคซีน ราคาจองใครเห็นก็คิดว่าแพง แต่เปิดตลาดวันแรกบวกมากกว่า 50% แล้วก็เดินหน้าต่อวิ่งไม่หยุด ประชุมนักวิเคราะห์ทีไร ต้องปรับเป้าราคาเพิ่มให้ตลอด เพราะมีแต่ข่าวดี ทั้งออเดอร์เต็มยาวไปถึงปีหน้า ราคาขายก็ปรับขึ้นได้มากมาย คนที่ไม่มีหุ้นก็บ่นเสียดาย รู้งี้จองไปก็ดี
- หุ้นตัวที่สอง หุ้นเทคต้นน้ำ ผลิตไมโครชิพส่งออก ยอดขายเติบโต และมีสตอรี่น่าสนใจ เปิดวันแรก +200% วันต่อมาก็ลิ่ง อีกวันก็ลิ่ง นับได้ 5 ลิ่งติด จนกระทั่งเรามั่นใจมากกว่าต้องมีลิ่งที่ 6 และหุ้นตัวนี้ต้องมีเรา ฉับพลันที่เคาะขวาราคาเปิด หุ้นก็ร่วงทันใด และเริ่มนับฟลอร์ที่ 1 เหมือนฟ้าจงใจแกล้งกัน แน่นอนว่าเราคือผู้ได้ชื่อว่า ติดดอยที่ราคาไฮ
- หุ้นตัวที่สาม หุ้นเกี่ยวกับ Software เป็นตัวแทนจัดจำหน่ายและเช่าใช้แบรนด์ดังระดับโลก เราคือผู้โชคดีตื่นแต่เช้าตั้งซื้อราคา ATO และได้หุ้นมาครอบครอง เปิดตลาด +200% เช่นกัน เรากอดหุ้นไว้แน่น แต่ขึ้นได้ไม่กี่วัน ราคาก็ย่อลงมาลึก ทุกวันนี้เราก็ยังอยู่บนดอย
- หุ้นตัวที่สี่ เป็นโรงไฟฟ้าขยะ หลังจากได้บทเรียนมาหลายตัว ใจนิ่งขึ้นเยอะ ไม่รีบร้อนซื้อ เปิดตลาดบวกมากกว่า 50% ขึ้นต่อซักพัก ก่อนปิดตลาดร่วงแรง บวกประมาณ 5% จากราคาจอง และนั่นคือราคาที่เราซื้อ แต่ทว่าวันรุ่งขึ้นหุ้นร่วงติดฟลอร์ และเช่นเคยเราติดดอย
สรุปผู้ชายคนนี้ติดดอยหุ้น IPO อยู่ 3 ตัว และบทเรียนที่ได้จากกรณีศึกษาเรื่องนี้ คือ
- อย่าหวังรวยเร็ว เพราะอาจจะจนลง
สาเหตุที่เราอยากซื้อหุ้น IPO แต่ละตัว ก็เพราะเราคิดว่าราคาหุ้นมันต้องขึ้นมากกว่าราคาจองแน่ๆ และพอเห็นหุ้นขึ้นไปเยอะๆ เราก็คิดว่ามันน่าจะขึ้นต่อ รวมไปถึงพอเห็นหุ้นตัวแรกขึ้นเยอะ หุ้นตัวที่สองขึ้นเยอะกว่า เราเลยเดาเอาเองว่าหุ้นตัวต่อไปก็น่าจะขึ้นเยอะเช่นกัน ทำให้เราอยากเข้าไปร่วมวงด้วย แต่ความจริงปรากฎว่า หุ้นแต่ละตัวไม่จำเป็นต้องขึ้นหรือลงเหมือนกันหมด เพราะพื้นฐานต่างกัน การเติบโตก็ต่างกัน
- ไม่ประเมินมูลค่าก่อนซื้อว่าถูกหรือแพง
สังเกตอะไรมั้ยครับว่า การที่บางคนกำไร บางคนขาดทุน เพราะว่า ราคาที่ซื้อไม่เท่ากัน บางคนซื้อราคาจอง บางคนซื้อลิ่งที่ 1 เพราะฉะนั้นต้นทุนที่ได้จึงต่ำ แต่เราซื้อลิ่งที่ 5 หรือฟลอร์ที่ 1 ยังไงก็ได้ต้นทุนที่แพงกว่า แถมเรายังไม่ได้ประเมินมูลค่าหุ้นด้วยว่า ราคาที่เหมาะสมคือเท่าไร ราคาที่เราเห็นวันนี้อาจจะคิดจากกำไรของปีหน้าไปแล้วก็เป็นได้
- จำนวนหุ้นน้อย คือ โอกาสและความเสี่ยง
หุ้นบางตัวเข้าตลาดมาด้วยจำนวนหุ้นไม่เยอะ คิดเป็นมูลค่าก็อาจจะหลักไม่กี่ร้อยล้านบาท หุ้นอาจจะกระจุกตัวอยู่ในจำนวนคนไม่มาก ทำให้วันแรกๆ ของการซื้อขายสามารถขึ้นไปได้รวดเร็ว แต่ในทางตรงกันข้ามเวลาลง ก็สามารถลงแรงได้เช่นกัน
- ไม่เข้าใจกิจการให้ถ่องแท้ก่อนซื้อ
ข้อนี้ถือว่าสำคัญที่สุดเวลาเราจะลงทุนในหุ้นบริษัทไหนก็ตาม แต่กลับกลายเป็นว่า เรามองเป็นลำดับสุดท้าย เรามักจะมีคำถามอยู่เสมอเวลาติดดอยว่า หุ้นตัวนี้ดีไหม ขายอะไรบ้าง จะโตแค่ไหน ถือยาวได้หรือเปล่า ซึ่งควรจะเป็นคำถามแรกก่อนที่จะซื้อหุ้น แต่เรากลับไปตื่นเต้นกับราคาที่วิ่งแรงมากกว่า
โดยสรุปแล้วการลงทุนหุ้น IPO ก็ไม่ต่างอะไรกับการลงทุนหุ้นทั่วไป ซึ่งเราต้องทำความเข้าใจถึงพื้นฐาน ธุรกิจของบริษัทนั้นให้ถ่องแท้เสียก่อน แล้วดูแนวโน้มการเติบโตในอนาคต ประเมินมูลค่าให้ได้ว่าราคาวันนี้ถูกหรือแพงมากน้อยแค่ไหน ก่อนที่จะเข้าไปลงทุน และที่สำคัญต้องเข้าใจว่า การที่เขาระดมทุนเข้าตลาดมาเพื่อวัตถุประสงค์อะไร
ไม่ใช่มองแค่ว่าเป็นหุ้นน้องใหม่ ยังไงก็ต้องวิ่งแรง เพราะสุดท้ายเราอาจจะติดดอยไปอีกนานแสนนานก็เป็นได้