มีใครอ่านการ์ตูนเรื่อง 'One Piece' อยู่บ้างครับ ??
วันพีชเป็นการ์ตูนที่ได้รับการตีพิมพ์มากที่สุดในโลก โดยตีพิมพ์ไปมากกว่า 320 ล้านเล่มทั่วโลกระหว่างปี พ.ศ. 2540 ถึง 2557
หลังจากตีพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2539 'One Piece' ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากในประเทศญี่ปุ่น และเป็นที่ชื่นชอบของนักอ่านการ์ตูนในหลายประเทศทั่วโลก
จนกินเนสส์ เวิล์ด เรคคอร์ดส ได้บันทึกให้ 'One Piece' เป็นหนังสือการ์ตูนที่ได้รับการตีพิมพ์มากที่สุดในโลก
เนื้อเรื่องของ One Piece นั้น เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กหนุ่มที่ใฝ่ฝันอยากเป็นเจ้าแห่งโจรสลัด ได้ออกผจญภัยท้องทะเล เพื่อตามหาสมบัติที่มีชื่อว่า ‘วันพีช’ ซึ่งเป็นที่ต้องการของเหล่าโจรสลัดมากมายทั่วท้องทะเล โดยพวกเขาจะต้องต่อสู้กับพวกโจรสลัดด้วยกัน เพื่อจะได้ครอบครอง 'วันพีช’
เรื่องราวในโลกการ์ตูน 'One Piece’ นั้น กำลังเกิดขึ้นในโลกจริง คล้ายๆกับแอพพลิเคชั่นที่มีขื่อว่า TikTok ซึ่งกลายเป็นแอพฯที่ถูกพูดถึง และเนื้อหอมมากที่สุดในชั่วโมงนี้
TikTok คือแอพฯโซเชียลมีเดียรูปแบบวิดีโอสั้นๆ ซึ่งตอนนี้กำลังมีบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก ต่างรายล้อมมาแย่งซื้อกิจการ ไล่ตั้งแต่ Microsoft, Apple, Oracle, Netflix และ Twitter รวมไปถึงรายล่าสุดอย่าง Wallmart ต่างยื่นข้อเสนอ เพื่อขอเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มวิดิโอสัญชาติจีนรายนี้
ทำไมบริษัทใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ถึงอยากครอบครอง TikTok นัก
'One Piece’= Big Data ขนาดยักษ์
โลกการ์ตูนวันพีชนั้น ยังไม่มีการเฉลยว่า 'One Piece’ นั้นคือหีบสมบัติ หรือสิ่งของอย่างไรกันแน่ เพราะยังไม่มีข้อสรุปจากผู้วาด (การ์ตูนยังไม่จบดี) แต่ก็ได้เปรยไว้ว่าเป็น สมบัติที่มีชิ้นเดียวบนโลก
โดยในโลกความจริงนั้น ธุรกิจและองค์กรต่างๆมองเห็นว่า “ข้อมูลลูกค้าขนาดใหญ่” คือ สมบัติล้ำค่าอย่างแท้จริง
เอาเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา TikTok เปิดเผยว่าตอนนี้มียอดผู้ใช้งานแบบ Active อยู่ประมาณ 100 ล้านคนต่อเดือน หากเมื่อเทียบกับเดือนมกราคม 2018 แล้ว จะมีอัตราเพิ่มขึ้นมาเกือบ 800%
ทางด้าน Apple ยังเปิดเผยตัวเลขที่น่าสนใจอีกว่า เมื่อไตรมาสแรกปี 2019 ที่ผ่านมา แอพฯ TikTok เอาชนะแอพฯยอดนิยมอย่าง Youtube , instragram , Facebook ด้วยยอดดาวน์โหลดบนระบบ IOS ที่ 33 ล้านครั้ง
นับจนถึงตอนนี้ TikTok มียอดดาวน์โหลด (รวมทุกระบบปฎิบัติการ) แล้วประมาณ 2,000 ล้านครั้งทั่วโลก
ด้วยอัตรายอดผู้ใช้งานที่ก้าวกระโดด และจำนวนผู้ใช้งานแอพฯใน TikTok ที่คิดเป็นจำนวนมากถึง 25% เมื่อเทียบกับประชากรทั้งโลก จะว่าไปแล้วนี่คือ Big Data ขนาดมหึมาอันล้ำค่า ที่องค์กรใหญ่ๆ ต่างมองว่า จะสามารถใช้ข้อมูลมหาศาลเหล่านี้ นำไปวิเคราะห์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ ซึ่งช่วยให้เข้าใจผู้บริโภคได้มากขึ้นนั่นเอง
จึงไม่แปลกที่บริษัทยักษ์ใหญ่ของอเมริกาต่างจ้องตาเป็นมัน เพื่อที่จะได้เป็นเจ้าของ TikTok เพราะนอกจากชุดข้อมูลลูกค้าจำนวนมหาศาลแล้ว ยังมีเรื่องของรายได้ ส่วนแบ่งการตลาด และค่าโฆษณา เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
หากจะมองในมุมของเกมการเมือง ก็เป็นไปได้ว่าสหรัฐฯเอง ก็มีความกังวลต่อเทคโนโลยีของจีน ว่าจะมาแย่งส่วนแบ่งการตลาดไป เลยพยายามข่มขู่ด้วยการแบนการให้บริการในประเทศ ถ้าไม่อยากถูกแบนล่ะก็ จงให้พวกฉันซื้อกิจการมาซะดีๆ
ตรงนี้ก็มองได้หลายมุมมากๆ
ติดตามกันต่อไปว่า สุดท้ายแล้ว บริษัทไหนจะได้ ‘One Piece’ แห่งโซเชียลมีเดียยุคนี้ ไปครอง