หุ้นไทยที่มีกิจการพึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติ คือหุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบสูงที่สุด จากวิกฤตโควิดในครั้งนี้ เรามีความเชื่อว่า ผลกระทบหรือ “ผลการกระทำ(กรรม)” จะหนักที่สุดผ่านงบการเงินในไตรมาส 2 ซึ่งเป็นช่วงที่การเดินทางระหว่างประเทศปิดกั้นแบบเต็มที่ มีการล็อกดาวน์เมืองแบบเต็มรูปแบบตั้งแต่เดือนเมษายน พฤษภาคม กระทั่งมิถุนายนกว่าจะทยอยเปิด เพียงแค่ห้างสรรพสินค้าและร้านอาหาร ในแบบต้องมีการรักษาระยะห่าง
แต่ธุรกิจที่พึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติในระดับที่สูงมาก อย่าง สนามบิน สายการบิน และโรงพยาบาลที่เน้นลูกค้าต่างชาติ ต้องเรียกว่ายังถูกกึ่งปิดจนถึงขณะนี้ ในบรรดาธุรกิจที่โดนผลกระทบทั้งหมด “สายการบิน” คาดว่าจะถูกกระทบอย่างหนักที่สุด และยังไม่เห็นสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจนเท่าใดนัก เรามาลองดูกันว่า แย่ในระดับที่หนักหนาสาหัสขนาดไหน กับหุ้นสายการบิน AAV บมจ. เอเชีย เอวิเอชั่น หรือสายการบินไทยแอร์เอเชีย ที่จัดเป็นสายการบินเอกชน ที่มีความพยายามปรับตัวอย่างเต็มที่ ทั้งการออกโปรบุฟเฟต์ และการลดต้นทุนอย่างจริงจัง
ซึ่งผลประกอบการที่ออกมา “ขาดทุน” นะครับ โดยรายงานผลขาดทุนสุทธิ 1,141 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นผลประกอบการที่อ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ในฝั่งรายได้ งบไตรมาส 2 ที่ประกาศออกมารายได้ลดลงจากที่เคยทำได้ในไตรมาส 2 ปี 2562 ที่ 10,000 ล้านบาทเหลือเพียง 2,220 ล้านบาท เรียกว่ารายได้ตกกระหน่ำกันถึง 78%
ถ้าเราเข้าไปดูไส้ในรายได้ 2,220 ล้านบาทนี้ อาจจะดูหนักยิ่งกว่า กล่าวคือ เป็นรายได้ที่เกิดจากการดำเนินงานจริงๆเพียง 266.5 ล้านบาท ลดลงมากมายถึง 97% (จากไตรมาส 2 ปี 2562 ที่เท่ากับ 9,608.7 ล้านบาท) เนื่องจากจำนวนผู้โดยสารในไตรมาส 2 ปี 2563 หดตัว 95% มาอยู่ที่ 0.3 ล้านคน (จากไตรมาส 2 ปี 2562 ที่เท่ากับ 5.58 ล้านคน) โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำนวนผู้โดยสารเส้นทางบินระหว่างประเทศหดตัวร้อยละ 100 (แทบไม่เหลือเลย) จากปีก่อน
ผลประกอบการฝั่งรายได้ที่ลดลงมหาศาล สะท้อนความหนักหนาสาหัส ของการล็อคดาวน์ จำกัดการเดินทาง และปิดกั้นการเดินทางระหว่างประเทศได้ดี ภาพนี้จะยังคงอยู่ต่อไป ตราบที่โรงระบาดโควิดยังคงอยู่
ในฝั่งค่าใช้จ่าย ไตรมาส 2 ปี 2563 AAV มีค่าใช้จ่ายรวมทั้งสิ้น 4,021.7 ล้านบาท ลดลง 63% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เท่ากับ 10,815.6 ล้านบาท
ค่าใช้จ่ายที่ลดลงโดยหลักมาจากค่าน้ำมันเชื้อเพลิงที่ลดลง เนื่องจากทั้งราคาน้ำมันลดลง และปริมาณการใช้น้ำมันที่ลดลงอย่างมหาศาล จากการหยุดการบินในหลายไฟลท์ รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่ตั้งใจบริหารจัดการให้ลดลงอื่นๆอย่างค่าจ้างพนักงาน ค่าบริการในสนามบินและลานจอด ค่าใช้จ่ายการบริการภาคพื้นและการจัดจำหน่าย และค่าซ่อมบำรุงเครื่องบิน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายที่ลดลงยังไงก็ไม่สามารถทำให้บริษัทหลีกเลี่ยงการขาดทุนไปได้ เพราะต้นเหตุหลักครั้งนี้คือ “รายได้ไม่เข้ามา” นี่จึงเป็นสาเหตุว่า ทำไม AAV ถึงต้องออกโปรขายตั๋วเครื่องบินแบบบุฟเฟ่ต์ บินไม่อั้น ออกมาเพื่อดึงรายได้เงินสดเข้ากิจการ ทดแทนรายได้ที่เคยมี
ในมุมมองส่วนตัว รู้สึกเห็นใจและเอาใจช่วยสายการบินที่กำลังพยายามปรับตัวอย่างหนักเพื่อความอยู่รอด เห็นได้จากการพักงาน leave without pay ในกลุ่มพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน และนักบิน กันเป็นจำนวนมาก และมีความพยายามลดต้นทุน ค่าใช้จ่ายอย่างจริงจัง
ถ้าวิกฤตโควิดยังยืดเยื้อต่อไป จนต้องปิดการเดินทางระหว่างประเทศยาวทะลุไปถึงสิ้นปีนี้ ผมคิดว่าสายการบินจำนวนมากในโลก คงไปต่อไม่ไหว อาจจะมาถึงจุดที่ไม่ต้องสืบว่า งบการเงินของสายการบินจะขาดทุนไหม แต่ควรถามว่าสายการบินใดจะอยู่รอดต่อไปได้ มากกว่า
สายการบินคือกิจการที่ได้รับผลกระทบแบบเต็มแรง ซึ่งแม้แต่สายการบิน Low Cost Airline อันดับ 1 อย่างสายการบินไทยแอร์เอเชียยังขาดทุนขนาดนี้ เชื่อได้ว่าสายการบินอื่นที่ยังไม่จริงจังในการหารายได้ และไม่จริงจังในการลดค่าใช้จ่าย อาการขาดทุนจะหนักกว่านี้แน่นอน
ในเชิงการลงทุน สายการบินเป็นหุ้นที่ยังมีความเสี่ยงสูง ทั้งในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ เป็นกิจการที่ระดับการแข่งขันสูงมาก ไม่มี barrier to entry มีความยากลำบากมาตั้งแต่ก่อนโควิดแล้วด้วยซ้ำ ราคาหุ้นที่ปรับลงไปมาก ก็สะท้อนความเสี่ยงระดับสูงมาก ที่กิจการกำลังเผชิญอยู่