BJC เป็นหุ้นกลุ่มค้าปลีกอีกตัวที่ราคาหุ้นลงมาค่อนข้างลึก จากการที่นักลงทุนมองว่าผลประกอบการไตรมาส 2 จะออกมาไม่ดีเท่าไร เนื่องด้วยสภาวะโรคระบาด COVID และสภาวะเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัวอยู่

ถึงแม้ว่า BJC จะมีความหลากหลายทางธุรกิจ แต่อย่าลืมว่ารายได้หลักของบริษัทมาจากธุรกิค้าปลีกอย่าง BIGC การปิดพื้นที่บางส่วนย่อมกระทบกับรายได้หลัก
... แต่เมื่อผลประกอบการออกมาแล้ว กลับไม่ได้รุนแรงอย่างที่คาด

สาระสำคัญผลประกอบการของ BJC รอบนี้ มีอะไรบ้างมาดูกันครับ

1. กำไรสุทธิ 306 ล้านบาท ลดลง -76% QOQ และ -80% YoY

2. แต่กำไรที่เห็นถูกกดดันจาก "รายจ่ายพิเศษ" โดยแบ่งเป็น
2.1 รายจ่ายจากการปรับโครงสร้างองค์กร 437 ล้านบาท
2.2 ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 804 ล้านบาท

3. ถ้าหักรายจ่ายพิเศษ เท่ากับว่า BJC จะมีกำไร 804 ล้านบาท

4. บริษัทคุมค่าใช้จ่ายได้ดีทุกกลุ่มธุรกิจ

5. รายได้หลักมาจาก BigC ซึ่งกระทบค่อนข้างเยอะ บริษัทปิดพื้นที่เช่าบางส่วน บางส่วนลดค่าเช่าให้ ส่งผลให้ Same Store sale Growth ติดลบ 17% (จากการปิดเดือนครึ่ง)

6. อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเหลือ 18.4% จากเดิมที่ทำได้ 19.6% เทียบกับปีที่แล้ว สาเหตุมาจากยอดขายลดลง และสัดส่วนการขายสินค้าที่มีอัตรากำไรต่ำเพิ่มขึ้น

7. บริษัทจ่ายปันผล 0.18 บาท/หุ้น ขึ้น XD 27 สิงหาคม (เทียบราคาคิดเป็น Yield 0.5%)

โดยภาพรวม ถือว่าไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดกัน ...

บล.หยวนต้า มองว่า ไตรมาส 3/63 จะฟื้นตัวอย่างชัดเจน ส่วนหนึ่งมาจากการปลดล๊อคดาวน์ธุรกิจทำให้เปิดสาขาได้เต็มที่ ไม่มีรายจ่ายพิเศษอีกต่อไปแล้ว และบริษัทมีแผนงานที่ชัดเจนในการขยายการลงทุนไปยัง CLMV โดยเฉพาะเวียดนาม
... แต่สิ่งที่ท้าทายมาจากแรงกดดันที่มาจากการจับจ่ายใช้สอย และรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่อาจจะหายไป

บล.แอลเอช วิเคราะห์ว่า ผลประกอบการจะฟื้นตัวในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 จะฟื้นตัวได้ดี แต่ถ้ามองจากทั้งปีแล้วผลประกอบการจะลดลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เนื่องมาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไม่มาไทย สภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และรายจ่ายพิเศษที่ค่อนข้างมาก

ทั้งนี้ บริษัทจะฟื้นตัวได้ ยังต้องรอนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมา ...

--------------------------

ขอบคุณแหล่งข้อมูล
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์หยวนต้า
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์แอลเอช