เป็นหุ้นกลุ่มแบงก์อีกตัวที่ผิดหวัง สำหรับ BBL ที่ประกาศผลประกอบการออกมาเหลือเพียง 3.09 พันล้านบาท จากเดิมที่เคยกำไร 9.34 พันล้านบาท ลดลงมากถึง 67%
อะไรเป็นสาเหตุสำคัญ และผลประกอบการรอบนี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง มาดูกันครับ ...
1. กำไรงวด 6 เดือน อยู่ที่ 10.76 พันล้านบาท รวมกำไรของ Permata เข้ามาแล้ว แต่ก็ยังน้อยกว่าปีที่แล้วอยู่ที่ 18.37 พันล้านบาท
2. บริษัทตั้งสำรองสูงถึง 13.23 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 138.6%
3. การตั้งสำรองสูงขนาดนี้ทำให้ Credit Cost สูง 2.36% ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจของไทยยังมีความไม่แน่นอน
4. สินเชื่อเติบโตสูงถึง 11.2% แต่แลกมาด้วย NPL เพิ่มขึ้นเป็น 4.10%
5. การรวม Permata เข้ามาทำให้ดอกเบี้ยรับสุทธิเพิ่มขึ้น 2.7% และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยเพิ่ม 4.7%
6. ผู้บริหารมีมุมมองเชิง "ป้องกัน" มากขึ้นโดยการตั้งสำรองครึ่งปีเป็นจำนวน 18.32 พันล้านบาท เป็นกรณีของ Worst Case ภายใต้สถานการณืโรคระบาด และเกิดการ Lock Down ครั้งที่ 2
โดยรวมแล้วผลประกอบการของ BBL ที่รวม Permata เข้าไปก็ถือว่าเติบโตได้ได้แรงหนุนจากแบงก์ที่อินโดนีเซียไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรายได้ สินเชื่อที่โตขึ้น ดอกเบี้ยรับสุทธิเพิ่มขึ้น รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้่ยก็เพิ่มขึ้น
... แต่ประเด็นหลักคือ "การตั้งสำรอง" ที่สูงมาก โดยการตั้งสำรองขนาดนี้ BBL มองข้ามช๊อตไปถึงเรื่องของการปิดเมืองรอบที่ 2 อีกด้วย (ซึ่งมีโอกาสที่จะไม่ปิด)
เรามาดูมุมมองบทวิเคราะห์กันบ้างครับ ....
บล. หยวนต้า วิเคราะห์ว่า การตั้งสำรองของ BBL บ่งบอกถึงความ Conservative ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตในกรณีของความเลวร้าย และราคาหุ้นก็ตอบสนองต่อข่าวร้ายไปมากแล้ว ซึ่งทางบทวิเคราะห์มีมุมมองว่า BBL จะฟื้นตัวได้ในครึ่งปีหลัง ด้วย P/BV ที่ต่ำเพียง 0.5 เท่า และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตมาก คงคำแนะนำ "ซื้อ"
บล.ฟิลลิป มองว่า การตั้งสำรองหักล้างกำไรจาก Permata มองว่าทั้งปี 2563 กำไรจะลดลงมากถึง 18.6% แต่ราคาหุ้นที่ลงมามากยังพอมี Upside ราคาเหมาะสมที่ 126 บาท แนะนำ "ซื้อ"
บล.เคทีบี มองว่า การตั้งสำรองเพิ่มขึ้นกดดันกำไรให้ต่ำ ทั้งนี้ครึ่งปีแรกการตั้งสำรองสูง ทำให้ครึ่งปีหลังนั้นมีโอกาสน้อยที่ BBL จะต้องตั้งสำรองสูงๆอีก
ทั้งนี้ จะมีการประชุมนักวิเคราะห์เพื่อการปรับเป้าและมีมุมมองของ BBL ใหม่ แต่ตอนนี้ยังคงราคาเป้าหมายเดิมที่ 130 บาท แนะนำ "ซื้อ"
ภาพรวมแล้วมีมุมมองไปทิศทางเดียวกันว่า ตั้งสำรองสูงเกินไป แต่ราคาหุ้นลงมามากถือว่ามีความน่าสนใจเข้าลงทุนมากกว่า
แต่ด้วยสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนหลายอย่าง แบงก์ชาติมีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยลงอีก รวมถึงเศรษฐกิจไทยอาจจะต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวนานไปจนถึงปีหน้าอีก
.. ในฐานะนักลงทุนแล้วละครับ ว่าเราควรมองเป็น #โอกาส หรือ #ความเสี่ยง กันแน่
-------------------------
ขอบคุณแหล่งข้อมูล