เรียกได้ว่าเขย่าตลาดและหุ้นกลุ่มแบงค์สะเทือนได้ระดับหนึ่งสำหรับผลประกอบการของ KBANK ที่ลดลงมากถึง 78% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมีกำไรสุทธิ 2.17 พันล้านบาท ส่งผลงวด 6 เดือน มีกำไรสุทธิ 9,550 ล้านบาท ลดลง 52% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 19,973 ล้านบาท
ถือว่าลดลงไปค่อนข้างมากอยู่เหมือนกัน
ประเด็นสำคัญ คือ ผลประกอบการรอบนี้ มีอะไรที่น่าสนใจ และบทวิเคราะห์มีมุมมองว่าอย่างไรบ้าง มาดูสรุปกันครับ ...
1. ต้นทุนสินเชื่อสูงขึ้น
2. รายได้จากค่าธรรมเนียมลดลง 9% QoQ และ 12% YoY หลักๆมาจากค่าธรรมเนียมบัตรเครดิต
3. รายได้ส่วนใหญ่ลดลง แต่รายจ่ายไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายของพนักงาน ค่ากิจกรรมทางการตลาดก็ลดลงมากเช่นกัน
4. สินเชื่อขยายตัว ในขณะที่ NIM ลดลง 24bps
5. บริษัทตั้งสำรอง 2.02 หมื่นล้านบาท
6. บริษัทระบุสินเชื่อในโครงการช่วยเหลือลูกหนี้คิดเป็น 40% ของสินเชื่อรวมหรือ 8.28 แสนล้านบาท จากทั้งหมด 90% เป็นลูกหนี้ธุรกิจและ 10% เป็นรายย่อย สำหรับสินเชื่อธุรกิจ 60% ยังคงชำระหนี้ต่อ
ส่วนอีก 30% มีแนวโน้มที่จะชำระหลังจากสิ้นสุดมาตรการฯ และ 10% (หรือ 7.8 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่ SMEs) เป็นกลุ่มเสี่ยงและต้องการปรับโครงสร้างหนี้เพิ่มเติมหลังจากสิ้นสุดมาตรการฯ ซึ่งจะกลายมาเป็น NPL ในระยะต่อไป
บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง แสดงความเห็นว่าผลประกอบการของ KBANK ออกมาได้น่าผิดหวัง หลักๆมาจากต้นทุนเครดิตสูงกดดันกำไรให้ตกต่ำ และ Credit cost จะสูงไปอีกอย่ํางน้อย3 ปี แนะนำ "ขาย" ถึงแม้ว่าอัตราส่วน P/BV จะอยู่ที่ 0.5 เท่า แต่นั้นมองว่าเป็นระดับที่เหมาะสมแล้ว
อย่างไรก็ตาม บทวิเคราะห์ชื่นชอบ BBL มากกว่า เพราะงบดุลแข็งแกร่งกว่าและความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์น้อยกว่า
บล.เคทีบี มีมุมมองเป็นลบต่อผลประกอบการที่ออก และทางฝ่ายวิจัยอาจจะปรับประมาณการกำไรลดลงอีกประมาณ 21% เนื่องจาก Credit cost ที่สูงขึ้น แนะนำ "ถือ"
ทั้งนี้คาดว่าผลประกอบการจะโดนกดดันต่อไปจนถึงไตรมาส 3 จากการตั้งสำรองที่ยังอยู่ในระดับสูงและ NIM จะปรับตัวลดลงจากการปล่อย Soft loan เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีความเสี่ยงเรื่องโควิดอาจจะมีการระบาดรอบที่ 2 ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง KBANK ต้องมีการตั้งสำรองเพิ่มสูงกว่าที่ตลาดคาดและกดดันผลประกอบการต่อไปได้อีก
ก็ถือว่าเป็นข่าวเซอร์ไพรส์ตลาดอยู่เหมือนกันสำหรับ KBANK เท่าที่สรุปบทวิเคราะห์มามีมุมมองเป็นลบค่อนข้างมาก และไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นได้เลยไปจนถึงไตรมาส 3
แต่อย่าลืมว่าราคาของหุ้นกลุ่มแบงค์นั้นลงมาค่อนข้างเยอะมาก และ Valuation ถ้าวัดจากมุมของ P/E P/BV หรือแม้แต่ปันผลก็ตามก็ถือว่าอยู่ในระดับ "ถูก"
---------------------------
ขอบคุณแหล่งข้อมูล