ใกล้จะครบรอบ 10 ปี ของวิกฤตน้ำท่วมประเทศไทยเมื่อปี 2554 ที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นน้ำท่วมที่ร้ายแรงที่สุดในแง่ของปริมาณน้ำ ผลกระทบในวงกว้าง และจำนวนผู้เสียหาย
ในตอนนั้นตลาดหุ้นไทยลงค่อนข้างหนัก จากระดับสูงสุดที่ 1,150 จุด ร่วงมาต่ำสุดที่ 840 จุด ก่อนที่ดัชนีจะฟื้นตัวกลับขึ้นมาใช้เวลานานถึง 5 เดือน
... เป็นธรรมดาครับ ... ช่วงนั้นตลาดหุ้นอยู่ในอารมณ์ของความกลัว เกรงว่าเศรษฐกิจของไทยจะหยุดชะงัก ต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูอีกนาน กินเวลาเป็นปี ขนาดว่า World Bank ออกมาประเมินมูลค่าความเสียหายน่าจะอยู่ราวๆ 1.44 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว
ในตลาดหุ้นก็จะมีบทวิเคราะห์หรือนักวิเคราะห์ออกมามองว่าหุ้นตัวไหน หรือกลุ่มไหนจะได้รับประโยชน์จากเหตุการณ์น้ำท่วม กลุ่มไหนจะฟื้นตัวได้เร็ว/ฟื้นตัวได้ช้า หุ้นบางตัวที่ได้ประโยชน์จากน้ำท่วมก็จะวิ่งแรงมากๆ เช่น HMPRO GLOBAL CPALL SCC เพราะเป็นหุ้นกลุ่มค้าปลีก วัสดุก่อสร้าง เจ็บหนักช่วงแรก แต่จะกลับมาได้เร็วกว่าเพราะคนจะมาปรับปรุงบ้าน ซื้อข้าวของเครื่องใช้
หุ้นที่เสียประโยชน์ เช่น หุ้นท่องเที่ยว หุ้นโรงแรม ขนส่งมวลชน โดยเฉพาะที่มีสัดส่วนรายได้ส่วนใหญ่กระจุกตัวในกรุงเทพมหานครจะเสียหายหนัก ราคาหุ้นก็จะร่วงแรงมาก
ประเด็นที่น่าสนใจ คือ หุ้นฟื้นตัวเร็ว และหุ้นฟื้นตัวช้า คือกรณีศึกษาที่น่าสนใจ ...
หุ้นที่ได้รับประโยชน์ จะวิ่งแรง เพราะนักลงทุนจำนวนมากเข้าซื้อลงทุน หรือเก็งกำไร ซึ่งบางครั้งก็อาจจะทำให้หุ้นแพงไปแล้ว
ในขณะเดียวกัน หุ้นที่เสียประโยชน์ จะลงหนัก นักลงทุนเทขายหุ้น ทำให้หุ้นเหล่านั้นเป็นหุ้นราคาถูกๆที่เหมาะสมแก่การเข้าลงทุน
นักลงทุนมือใหม่ที่เข้ามาตลาดไม่นาน ก็มักจะเกิดอารมณ์ "กลัว" ไม่กล้าเข้าซื้อ ก็จะไม่ใช่คนแรกๆที่เข้าซื้อเพราะมัวแต่รอ รอให้่ทุกอย่างชัดเจน
ส่วนใหญ่กลุ่มคนแรกๆ จะเป็นกลุ่มคนที่อยู่ในตลาดมานาน มีประสบการณ์ และกล้าในขณะที่คนอื่นกลัว เป็นคนที่ซื้อไม้แรกๆ ก่อนที่จะมีนักวิเคราะห์ออกมาชี้ว่าหุ้นตัวไหนได้ประโยชน์ หรือเสียประโยชน์
ในความเป็นจริงแล้ว การวิเคราะห์ว่าหุ้นกลุ่มไหนได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์ เป็นเรื่องสำคัญ แต่สิ่งที่ต้องคำนึงต่อมา คือ ราคาหุ้น Undervalue หรือไม่เป็นหลัก !!!
... ไม่ใช่ว่า ได้รับประโยชน์ก็จริง แต่เราสามารถเข้าซื้อได้ทุกราคา
ในเวลาเดียวกัน หุ้นที่เสียประโยชน์ มักจะเป็นโอกาสทองที่น่าสนใจมากกว่า เพราะคนมักจะกลัวมากกว่าผลกระทบที่เกิดขึ้น หุ้นบางตัวร่วงเกือบ 50% ในขณะที่กำไรลดลงเพียง 20% เท่านั้น หรือลงน้อยกว่าที่ตลาดคาดเอาไว้ ราคาก็จะต่ำกว่าพื้นฐาน เป็นโอกาสที่น่าสนใจ
ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรที่กระทบกับพื้นฐาน หรือกำไรของบริษัท นอกจากเราจะมองว่าหุ้นกลุ่มไหนได้รับประโยชน์ หรือเสียประโยชน์แล้ว เราต้องคิดอีกด้วยว่าราคาที่เหมาะสมควรอยู่ระดับที่เท่าไร ลงแรงเกินไปไหม หรือขึ้นเยอะเกินไปหรือไม่เทียบกับอนาคตในอีก 1-2 ปีข้างหน้าที่อาจจะฟื้นตัวได้
การรู้ว่าหุ้นกลุ่มไหนได้รับหรือเสียประโยชน์ เป็นสิ่งที่นักลงทุนควรรู้
แต่การเข้าใจและวิเคราะห์ถึง "ราคาที่เหมาะสม" จะทำให้เราเหนือกว่านักลงทุนทั่วไป มากครับ ...