Covid-19 ที่กำลังแพร่กระจายไปทั่วโลก ได้กลายเป็น Talk Of The Town ที่เปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนให้หันมาระแวดระวังดูแลตัวเอง ใส่ใจเรื่องสุขภาพ และสุขอนามัยมากขึ้น เพราะการที่เรามีสุขภาพที่ดี มันแสดงให้เห็นถึงการมีต้นทุนชีวิตที่ดีตามไปด้วย ทำให้มีเงินเหลือเก็บ แบ่งเงินส่วนนี้ไปใช้เพื่อการลงทุนในอนาคตได้
การเลือกลงทุนในธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง สิ่งสำคัญคือการศึกษาข้อมูลบริษัทนั้นๆ ให้ดี ยิ่งทำกำไรเติบโตทุกปี ระดับความเสี่ยงก็จะน้อยลงตาม เช่นเดียวกับบางธุรกิจที่เติบโตได้ดีในช่วงวิกฤติ ที่เปลี่ยนเป็นโอกาสรับอานิสงส์รับทรัพย์เข้ากระเป๋า นำเงินในส่วนที่ได้เอาไปบริหารจัดการพัฒนาธุรกิจให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่สูงขึ้น
การลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวกับสุขอนามัยนับว่าเป็นเซ็กเตอร์ที่น่าสนใจในตอนนี้ อย่างหุ้น STGT หรือ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก ในฐานะบริษัทลูกของ STA หรือบริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตยางธรรมชาติแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งตั้งแต่ต้นปีมานี้ STA ถือเป็นหนึ่งในหุ้นที่นักลงทุนสนใจ เพราะงบ Q1/63 ที่ออกมาเติบโตสวนกระแสภาพรวมตลาด และราคาหุ้นก็เพิ่งทำ new high ไปหมาดๆ
ทำให้บริษัทลูกอย่าง STGT มีแววไปได้สวย เพราะถือว่าเป็นน้องใหม่ IPO น่าจับตามอง และเพิ่งได้รับการอนุมัติจาก ก.ล.ต. ในการเข้าสู่ตลาดเสนอซื้อขายหุ้น
เมื่อถามถึงความน่าสนใจของตัวหุ้น สำหรับมุมมองนักลงทุนแนว VI หรือนักลงทุนที่กำลังมองหาหุ้น growth stock STGT นับว่าเป็นหุ้นน้องใหม่ IPO ที่น่าสนใจ โดย STGT ดำเนินธุรกิจผลิตและส่งออกถุงมือยางมากว่า 30 ปี จำหน่ายทั้งในประเทศไทยและส่งออกไปยังต่างประเทศ สะท้อนให้เห็นถึงฐานลูกค้าที่กระจายตัวอยู่หลายพื้นที่ ตอบโจทย์นักลงทุนที่ชื่นชอบลงทุนในหุ้นที่มีความมั่นคงระยะยาว
STGT จึงนับว่าเป็นบริษัทที่มีความแข็งแกร่ง และพร้อมเติบโตรองรับความต้องการของตลาดถุงมือยาง โดยมีกลุ่มเป้าหมายที่แน่นอนที่พร้อมซื้อสินค้า เช่น บุคลากรทางการแพทย์ นักโภชนาการอาหาร ฯลฯ ซึ่งถือว่าเป็นสินค้าที่จำเป็นต่อชีวิตผู้คนและอยู่ในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต
อย่างไรก็ตาม สถานะของ STGT ตอนนี้ที่กำลังจะเข้า IPO และเป็นหุ้นน้องใหม่ที่ได้รับผลบวกจากโควิด-19 ทำให้ดีมานด์มากขึ้น และมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จากสินค้าที่ทำรายได้ให้แก่บริษัทฯ ทั้งที่ผลิตและจำหน่ายภายใต้เครื่องหมายการค้าของ STGT และกลุ่มบริษัท STA เช่น ศรีตรังโกลฟส์, ซาโตรี่, I’M GLOVE เป็นต้น และการรับจ้างผลิตในลักษณะ OEM ซึ่งเป็นพอร์ตรายได้หลักของ STGT โดยสำหรับผลประกอบการ Q1/63 มีกำไรสุทธิ 421.89 ล้านบาท เติบโต 184% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
STGT ยังคงเดินหน้าสร้างความน่าเชื่อถือแก่นักลงทุนต่อเนื่อง ทั้งความโดดเด่นจากแบ็กกราวด์ในด้านแนวคิด ประสบการณ์การบริหารงานมายาวนาน และวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของผู้บริหารในการรักษาความเป็นผู้นำในตลาดโลก ผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางส่งออกไปยังประเทศที่มีฐานลูกค้าที่มีอัตราการใช้ถุงมือยางสูง อย่างประเทศสหรัฐอเมริกา ทวีปยุโรป และญี่ปุ่น และยังแสวงหาตลาดใหม่เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายถุงมือยางได้อย่างต่อเนื่อง อาทิ กลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิก ทวีปแอฟริกา และอเมริกาใต้ เป็นต้น
ล่าสุด STGT เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 444,780,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท คิดเป็น 31% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ โดยรวมในส่วนหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายให้แก่กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทฯ และบริษัทฯ ย่อยของบริษัทฯ ตามโครงการ STGT ESOP จำนวน 6,000,000 หุ้น ซึ่งเสนอขายในปีที่ 1 ถึงปีที่ 2 ภายหลังการออกและเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่ของบริษัทฯ ต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก
STGT จะนำเงินจากการเสนอขายหุ้น IPO ไปใช้ในส่วนขยายกำลังการผลิตติดตั้งประมาณ 50,000 ล้านชิ้นต่อปีภายในปี 2567 และก้าวสู่ 100,000 ล้านชิ้นต่อปีภายในปี 2575 และติดตั้งระบบ SAP ชำระเงินกู้สถาบันการเงินและใช้เป็นเงินหมุนเวียนในกิจการ เพื่อรักษาความเป็นผู้นำการผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางระดับชั้นแนวหน้าของเมืองไทย และอยู่ในระดับตัวท็อปของโลก
ข้อมูลอ้างอิง:
(1)STGT Live Press Conference
https://www.facebook.com/265248580335598/videos/246902853229135/