เราชอบหุ้น A ทำการบ้านมาอย่างดี คาดว่าแนวโน้มกำไรน่าจะออกมาดี กิจการอยู่ในเทรนด์ของการเติบโต
ติดอยู่ก็แค่เรื่องเดียว คือ ราคาหุ้นมันไม่ไปไหนซักที บางวันราคาลงด้วยซ้ำ
เราเลยไม่แน่ใจว่า ตกลงมันดีจริงหรือเปล่า
ขณะที่หุ้น B เราก็ศึกษามาเหมือนกัน แต่มองแล้วคิดว่า รายได้ กำไรก็ดูไม่ค่อยโตเท่าไหร่ แนวโน้มการเติบโตก็เหมือนจะไม่ดี และไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์อะไรที่เห็นได้ชัด
แต่สิ่งที่น่าสนใจและแปลกใจ คือ ราคาหุ้นขึ้น และขึ้นแรงด้วย
ทำให้เราชักเริ่มไม่แน่ใจว่า ตกลงมันแย่หรือเปล่า หรือเราเองที่คิดผิดไป
สุดท้าย เรากลัวหุ้น A แต่กลับมาซื้อหุ้น B แทน และในระยะสั้น เราก็มีความสุขกับการที่หุ้นมันขึ้นต่อ ขณะที่หุ้น A ก็นิ่งๆ อยู่เหมือนเดิม เราก็เริ่มมั่นใจว่า เห็นมั้ย เราคิดถูก แต่ลึกๆ ในใจ เราก็ยังไม่รู้ว่าหุ้น B มันขึ้นมาจากเหตุผลอะไร
เวลาผ่านไป เกิดเหตุการณ์ตรงกันข้าม หุ้น B ราคากลับร่วงเร็วและแรง เราตกใจแต่ยังไม่ขาย เพราะคิดว่า มันขึ้นมาเยอะ ต้องมีย่อบ้าง แต่พอผ่านไปเรื่อยๆ หุ้น B เริ่มร่วงหนักต่อ ทำให้เราขาดทุนจำนวนมาก
ขณะที่หุ้น A งบออกมาเฉลยว่า กำไรเติบโตจริงอย่างที่เราคิด และราคาหุ้นก็ขึ้นมาตอบสนองความจริงนั้น เราก็ได้แต่เสียดายมองตาปริบๆ แล้วบอกตัวเองว่า “ไม่น่าเลย”
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
สิ่งที่เราคิดไว้ตอนต้น ถูกแล้ว เพียงแต่ว่า ในระยะสั้น ราคาหุ้นอาจยังไม่ได้ตอบสนองในทันที แต่เพราะว่า เรายึดติดกับเรื่องของ “ราคา” มากเกินไป ทำให้เราไขว้เขว และสรุปเอาเองว่า
การที่ราคาไม่ขึ้น คือ หุ้นตัวนั้นแนวโน้มไม่ดี
แต่ในทางตรงข้าม ถ้าหุ้นตัวไหนราคาเริ่มวิ่ง เราจะเปลี่ยนความคิด จากแย่กลายเป็นดี
เพราะฉะนั้น เราต้องเปลี่ยนวิธีการคิดใหม่แบบนี้
- มองที่ตัวธุรกิจก่อนว่าผลประกอบการในปัจจุบัน และแนวโน้มเป็นอย่างไร
- ประเมินมูลค่าที่เหมาะสมตามความเป็นจริง
- ในระยะสั้น ราคาหุ้นอาจผันผวน และไม่สอดคล้องกับผลประกอบการ แต่ในระยะยาวแล้ว ราคาหุ้นควรไปในทิศทางเดียวกับกำไร
- วางกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับความต้องการของเรา
ถ้าเราคิดพิจารณามาอย่างถี่ถ้วน ด้วยข้อมูลที่ไม่มีอคติแล้ว มั่นใจว่าหุ้นที่เราดูนั้นดีจริง
ก็จงอย่าปล่อยให้อคติทางราคามาโน้มน้าวจิตใจเราให้พลาดโอกาสดีในการลงทุน
และการลงทุนที่ปราศจากอคติ จะทำให้เราเดินไปข้างหน้าได้ถูกทาง