รู้หรือไม่ว่า ช่วงที่ตลาดหุ้นทั่วโลกตกลงมาอย่างหนัก ผลตอบแทนติดลบค่อนข้างมาก แต่ถ้านักลงทุนมีวิธีคัดเลือกสินทรัพย์ในการลงทุนที่ดี ก็จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้
ยกตัวอย่างเช่น ช่วงวิกฤต COVID-19 ที่ตลาดหุ้นไทยร่วงถึง -20%
แต่กองทุนของ ONE Asset Management กลับสร้างผลตอบแทนได้มากถึง 10-17%
วันนี้ เลยอยากพามาดูกันว่าหน้าตาของกองทุน ONE เพื่อเป็นกรณีศึกษา ว่าเขาทำอย่างไร ลงทุนอะไร? ถึงสามารถฝ่าวิกฤต COVID ได้
... มาไขความลับกันครับ ...
กองทุนแรกที่เลือกมาเป็นตัวอย่าง คือ กองทุนเปิด ONE-UGG
ที่เน้นลงทุนในกองทุนต่างประเทศ Baillie Gifford Long Term Global Growth Fund ซึ่งเป็นกองที่ลงทุนในหุ้นต่างประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง และเป็น Mega Trends สามารถถือลงทุนระยะยาวได้
ซึ่งพอพูดถึง Mega Trends ก็คิดว่าเรื่องนี้สำคัญมากสำหรับนักลงทุน ที่ควรรู้ และใช้เป็นปัจจัยในการพิจารณาเลือกลงทุนด้วย
จึงขอสรุปให้ดูกันก่อนว่า 5 Mega Trends ที่สำคัญในยุคนี้ มีอะไรบ้าง
- Aging Society สังคมผู้สูงอายุ – ดังนั้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากเทรนด์นี้ คือ โรงพยาบาล การแพทย์ บริการ ท่องเที่ยว
- Urbanization ความเป็นเมือง - ดังนั้นกลุ่มเกี่ยวกับการบริโภค ห้าง ร้านอาหาร แฟชั่น เครื่องประดับ สุขภาพ รวมถึงสาธารณูปโภค โครงสร้างพื้นฐาน ได้ประโยชน์
- Digital Lifestyle ชีวิตยุคดิจิทัล - คงไม่มีใครแย้งอีกต่อไปแล้ว ว่านี่คือยุคดิจิทัล ยิ่งเกิด COVID-19 ยิ่งเร่งให้โลกเข้าสู่ Digital Lifestyle เต็มตัว ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ อีคอมเมิร์ซ สตีมมิ่งหนัง-เพลง ผู้ให้บริการสื่อสาร หรือ Tech Startup ต่างๆ ล้วนมีอนาคต
- She-Conomy ผู้หญิงมีอำนาจการซื้อ - ดังนั้นผลิตภัณฑ์ของผู้หญิง ความสวยความงาม ของตกแต่งบ้าน ก็น่าสนใจ
- Growing Sustainability พลังงานสะอาด - เพราะเทรนด์รักโลก จะเข้มข้นและเป็นรูปธรรมขึ้นเรื่อยๆ นับจากนี้ไป
กลับมาที่ กองทุนเปิด ONE-UGG ถ้าเราเจาะลึกหุ้นรายตัวที่กองทุนถือ ก็จะเห็นว่า บริษัทส่วนใหญ่ล้วนอยู่ใน 5 Mega Trends ที่กล่าวไป และเป็นบริษัทที่คนไทยคุ้นเคยเป็นอย่างดี ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ อาทิเช่น
- Amazon.com , Alibaba : เจ้าของแพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าออนไลน์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก เหมาะกับยุค Digital Lifestyle ที่คนมีกำลังซื้อมากขึ้น โหยหาความสะดวกสบาย ต้องการสินค้าคุณภาพสูง ในราคาที่ไม่แพง
- Tesla : เจ้าของนวัตกรรมรถพลังงานไฟฟ้า และระบบคนขับอัตโนมัติ ตอบโจทย์ชีวิตคนรุ่นใหม่และใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งเข้ากับธีม Growing Sustainability
- Tencent : ยักษ์ใหญ่ของจีน เจ้าของแพลตฟอร์มมากมาย เช่น Wechat , Shopee , Garena, JOOX, WeTV รวมถึงระบบ e-payment ต่างๆที่ชาวจีนนิยมใช้กันเป็นจำนวนมาก รวมถึงคนไทยด้วย โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น และกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง
- Facebook, Netflix, Alphabet(Google) : คนไทยน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดี กับแพลตฟอร์มเหล่านี้ ที่ใช้กันทุกวัน
โดยผลประกอบการที่ผ่านมา ของกองทุน ONE-UGG ก็ให้ผลตอบแทนโดดเด่นมาก
ถ้าเราซื้อและถือมาตั้งแต่จัดตั้งกองทุน จะได้ผลตอบแทนถึง 22.74%
ตัวอย่างกองทุนที่สอง คือ กองทุนเปิด ONE-DISC
ลงทุนในกองทุนต่างประเทศ Baillie Gifford Worldwide Discovery ที่ลงทุนในหุ้นเติบโตขนาดกลาง-เล็ก ในช่วงก่อนเติบโตเต็มที่ (Immaturity)
ตัวอย่างหุ้นที่กองทุนถือ เช่น
- Ocado บริษัทซุปเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์รายใหญ่ที่สุดของอังกฤษ
- Market Axess บริษัท Fintect เจ้าของแพลตฟอร์มซื้อขายตราสารหนี้ทั่วโลก
- Alnylam Pharmaceuticals บริษัทวิจัยและพัฒนาในการรักษาโรคทางพันธุกรรม
- Tesla บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และผู้คิดค้นพลังงานทางเลือก
- Lending Tree บริษัทเจ้าของแพลตฟอร์มสินเชื่ออนไลน์รายใหญ่ที่สุดในอเมริกา
- Zillow Group บริษัทเจ้าของแพลตฟอร์มสำหรับเช่า ซื้อ ขาย อสังหาริมทรัพย์ออนไลน์
ถึงแม้ว่ากองทุนนี้ก่อตั้งได้ไม่นาน (เดือน 11 ปี 2019) แต่ก็สร้างผลตอบแทนได้น่าประทับใจ
ถ้าเราซื้อและถือมาตั้งแต่จัดตั้งกองทุน จะได้ผลตอบแทน 22.12%
จะเห็นได้ว่าหุ้นที่กองทุนเหล่านี้ถือเต็มไปด้วยหุ้นขนาดเล็ก มีนวัตกรรม และเป็น Mega Trends ที่กำลังจะเติบโตในอนาคต เช่น บริษัท Lending Tree เป็นผู้ให้บริการสินเชื่อออนไลน์เหมาะกับความเป็น Digital lifestyle ของคนรุ่นใหม่ หรือแม้แต่บริษัท Alnylam Pharmaceuticals ที่วิจัยเกี่ยวกับโรคทางพันธุกรรมที่เป็นปัญหาสำหรับผู้สูงอายุ หรือคนอายุน้อยแต่มีโรคทางพันธุกรรมสืบทอดกันมา ก็ยังตรงกับธีม Aging Society
กองทุนสุดท้าย ที่เลือกมาในวันนี้ คือ กองทุนเปิด ONE-GECOM
ด้วยกระแสออนไลน์ที่มาแรง รวมถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เข้าสู่โลกออนไลน์เติบโตอย่างมาก
ไม่ว่าจะเป็น Online Shopping, Online Travel หรือ Online Marketplace สิ่งเหล่านี้เรียกว่า E-Commerce
ซึ่งกองทุน ONE-GECOM จะลงทุนใน Amplify Online Retail ETF ประมาณ 70%
ส่วนอีก 30% ผู้จัดการกองทุนของ One Asset Management จะคัดเลือกหุ้นลงทุนด้วยตัวเอง ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของกองนี้
ตัวอย่างหุ้นที่ Amplify Online Retail ETF เช่น
- Stamps.com บริษัทรับส่งสินค้าในอเมริกาที่โตเร็วมากในอเมริกา
- Wayfair INC ขายสินค้าเครื่องใช้ เฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน ออนไลน์ในอเมริกา
- CHEGG INC เจ้าของแพลตฟอร์มการศึกษาออนไลน์ ยืมหนังสือออนไลน์ แนะแนวการเรียนต่อ
- PETMED Express ร้านขายยาสัตว์เลี้ยงออนไลน์ ในอเมริกา
- DELIVERY HERO เจ้าของ Foodpanda ที่คนไทยรู้จักกันดี รวมถึงจัดส่งอาหารออนไลน์ทั่วโลก มีสำนักงานอยู่ที่เยอรมนี
ตัวอย่างหุ้นที่กองทุน ONE คัดเลือกด้วยตัวเอง เช่น Alibaba, Amazon.com, Netflix เป็นต้น
สำหรับผลประกอบการที่ผ่านมา กองทุน ONE-GECOM ให้ผลตอบแทนอย่างโดดเด่น
ถ้าเราซื้อและถือมาตั้งแต่จัดตั้งกองทุน จะได้ผลตอบแทน 27.62%
จะเห็นได้ว่าหุ้นที่กองทุน Amplify Online Retail ETF เลือกลงทุน แต่ละบริษัทก็เป็นเจ้าของแพลตฟอร์มออนไลน์ของตัวเองทั้งนั้น
ดูจากทั้ง 3 กองทุนที่ผ่านมา พอจะสรุปได้ว่าวิธีลงทุนให้ชนะตลาดได้นั้นต้องประกอบไปด้วย 2 ปัจจัย คือ
1. ลงทุนในหุ้นเติบโต และเป็น Mega Trends
2. ไม่จำกัดตัวเองเฉพาะหุ้นไทยอย่างเดียว ตลาดหุ้นต่างประเทศก็มีความน่าสนใจ
ทั้งนี้นักลงทุนบางคนอาจจะคิดว่า เงินไม่เยอะพอ หรือมีความเสี่ยงเรื่องค่าเงินผันผวน ซึ่งนี่คือข้อดี ของการลงทุนผ่านกองทุน เพราะมีเงินน้อยก็สามารถลงทุนได้ และนโยบายของกองทุน ที่ยกตัวอย่างของบลจ.วรรณ ก็มีการป้องกันความเสี่ยงเรื่องค่าเงินในสัดส่วนที่เหมาะสม
นี่ก็ถือเป็นทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจครับ ลงทุนต่างประเทศไม่ยาก และสามารถสร้างผลตอบแทนที่ "เหนือกว่า" ตลาดหุ้นไทยได้