#ลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐาน

ตลาดกระทิง ปี’63

โดย อธิป กีรติพิชญ์
เผยแพร่:
104 views

ถ้านับจากดัชนี SET ต่ำสุดของปี 2563 .วันที่ 23 มีนาคม ที่ระดับ 970 จุด ท่ามกลางข่าวร้ายที่ยังอุดมสมบูรณ์ในตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 2 เดือน แต่ตลาดหุ้นทั่วโลกกลับยืนได้และทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เสมือนว่าโลกเราเอาชนะโรคระบาดแห่งศตวรรษได้แล้ว 

 

ส่งผลให้ในช่วงปลายสัปดาห์แรกของเดือนมิถุนายน ดัชนี SET ก็เพิ่มขึ้นมามากกว่า +40% จากจุดต่ำสุดของปี มาอยู่ที่ระดับประมาณ 1400 จุด ตามนิยามแล้ว นี่คือตลาดกระทิง Bull Market” ที่เป็นขาขึ้นระดับชันมากๆ +40% ในเวลาเพียง 2 เดือนเศษ แต่กลับเป็นตลาดกระทิง ที่มีคนตกรถมากที่สุดในประวัติศาตร์ 

 

ผมลองมานั่งอ่านข้อมูลหุ้นหลายตัว พบว่างบการเงินไตรมาส 2 (Q2) ของบริษัทในตลาดหุ้นจำนวนมาก (น่าจะยกเว้นกลุ่มพลังงาน) คงจะสยดสยองมากๆ แต่ถึงตรงนี้ นักลงทุนก็คงไม่กลัวงบ Q2 กันแล้ว มองข้ามไปเลยอีก 9 เดือน 12 เดือน

 

ถ้ามองทั้งปีในปี 63 นี้ ส่งออกของไทยเราทั้งสินค้าและการท่องเที่ยว จะห่างไกลจากที่หวังไว้ต้นปี ประมาณการ GDP ไทยแย่ระดับ -6% ถึง -8% นี่ก็คือ แย่ที่สุดในอาเซียน ... แล้วการที่ SET เด้งบวกแรงมาขนาดนี้ คือ สุดจะลักลั่นย้อนแย้งกับสภาพความเป็นจริงที่ยังย่ำแย่ นี่คือสาเหตุที่นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่กล้าขึ้นรถในตลาดกระทิงรอบนี้ 

 

ใครจะไปรู้ว่า ปีที่ธุรกิจต้องปิดตัวพร้อมกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และจำนวนคนตกงานทั่วโลกมีมากพร้อมกันเป็นร้อยล้านคน จะกลายเป็นปีที่ตลาดหุ้น "บวกสวน" แบบไม่นำพาได้ขนาดนี้

 

คำอธิบายอย่างง่ายที่สุด มันเป็นเรื่องสภาพคล่อง(Liquidity)” ที่ล้นระบบ

 

ลองนึกดูว่า ในทางทฤษฎีแล้ว หากใครมีเงินสดมากๆ มากในระดับที่ล้นมือ เคาะขวาได้เรื่อยๆ ต่อให้กระทำกับ หุ้นที่พื้นฐานแย่ที่สุด ใกล้จะล้มละลายอยู่รอมร่อ หุ้นตัวนั้นก็ยังสามารถวิ่งแตะ ceiling ได้

 

มารอบนี้ คนที่มีเงิน มีสภาพคล่องล้นมือมากๆ ต้นน้ำไม่ได้มาจากเศรษฐีคนใด แต่มาจากรัฐบาลและธนาคารกลางทั่วโลก เริ่มจากมหาอำนาจ อเมริกา(FED) ยุโรป(ECB) ญี่ปุ่น (BOJ) ตามมาด้วยอีกสารพัดประเทศ ที่พร้อมจัดงบประมาณ แล้วอัดฉีดเงินพร้อมกันทั่วโลก เพื่อพยุงเศรษฐกิจหลังโควิด ทุกคนใช้กระบวนท่าเดียวกัน 

 

แต่เงินช่วงแรก จะยังไม่ลงไปที่เศรษฐกิจภาคจริง หรือบางแห่งอัดฉีดลงไป คนก็ไม่เอาไปใช้จ่ายให้เงินหมุน แต่เอาไปออม บางประเทศ คนออมใน "กองทุนซึ่งที่สุดแล้ว เงินที่อัดฉีดจะไม่ลงไปใน "ตลาดสด" แต่ไปลงใน "ตลาดหุ้น" ซึ่งภาพคล้ายๆกันนี้ เคยเกิดกับยุคหลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ปี 2008 ที่มี QE1,2,3 ช่วงปี 2009-2011ที่อเมริกามาแล้ว

 

และรอบนี้ก็เป็นตลาดหุ้นอเมริกานี่แหละ ที่เล่นบวกนำ กระทั่งกลับไปเทรดที่สูงเท่ากับก่อนโควิดแล้ว (ตลาดหุ้นทั่วโลกกำลังทยอยตามมา) ตลาดหุ้นอเมริกาเล่นขึ้น ทั้งที่ติดโควิดเกิน 2 ล้านคน ตายไปแสนกว่าคน ยังคุมโรคไม่ได้ดี แถมมีประท้วงวุ่นวาย ไปหลายมลรัฐ 

 

หากมองมุมนี้ หุ้นไทยจะขึ้นตามได้... ก็คงไม่แปลกอะไร หรือจะลงมาใหม่ แบบต้นปี... ก็คงไม่แปลกอะไร ความผันผวนยังสูงมาก ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา บทวิเคราะห์เป้าดัชนีตลาดหุ้นไทย จึงผิดเพี้ยนไปหมด ให้เป้าดัชนี 1200 เต็มที่...ก็ตีแตก เป้า 1300 ...ก็ตีแตกอีก เป้า 1400 ...ก็ตีแตกอีก หรือแม้แต่ คำแนะนำให้ Sell in May and Go Away กลายเป็น "ตกรถ in May and Stay Afraid"

 

ด้วยสภาพคล่องที่ล้นระบบ ดอกเบี้ยที่ต่ำเตี้ยที่สุดเป็นประวัติการณ์... นักลงทุนที่ขายหุ้นนั่งทับเงินสดมากกว่า 70% หรือผู้คนจำนวนมากที่ไม่รู้จะหาผลตอบแทนจากการฝากเงินที่ไหน จะจัดสรรสินทรัพย์อย่างไร

 

สุดท้ายการทำ Asset Allocation หรือการจัดสรรความมั่งคั่งให้มีทั้ง สินทรัพย์เสี่ยงสูง และ สินทรัพย์เสี่ยงต่ำ ตามอายุ ตามหน้าตัก และตามความเสี่ยงที่รับได้ ยังคงเป็นคำตอบที่ถูกต้องเสมอ ไม่ว่าสภาพตลาดเป็นอย่างไร


เจ้าของหนังสือ Best Seller “ติวหุ้น รวยด้วยวีไอ” และยังเป็นวิทยากรคอร์ส “ลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐานแบบ Value/Growth Investor” ด้วยประสบการณ์ในตลาดทุนกว่า 17 ปี และประสบการณ์ในการเป็นติวเตอร์ บวกกับความเป็นคนอารมณ์ขัน  ทำให้คุณนิ้วโป้งสามารถถ่ายทอดเรื่องยาก อย่างการลงทุน ให้เข้าใจได้ง่าย และยังใช้ภาษา ลีลาที่มีเอกลักษณ์น่าสนใจอย่างยิ่ง จึงทำให้ได้รับเชิญไปบรรยายในงานต่างๆ มากมาย

Facebook

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง