นั่งอ่านข้อมูล จนปวดตา ปวดหัว
งบ Q2 ของบริษัทในตลาดหุ้นจำนวนมาก (น่าจะยกเว้นกลุ่มพลังงาน) จะสยดสยองมากๆ
แต่ถึงตรงนี้ นักลงทุนก็คงไม่กลัวงบ Q2 กันแล้ว มองข้ามไปเลย 9เดือน 12เดือน
ถ้ามองทั้งปีในปี63 นี้ ส่งออกเราทั้งสินค้าและการท่องเที่ยว จะห่างไกลจากที่แพลนไว้ต้นปี (ที่คาดว่าไม่ค่อยดี)อีกมากโข
Forecasted GDP ไทยแย่ระดับ -6% ถึง -8% นี่ก็คือ แย่ที่สุดในอาเซียน
แล้วการที่ SET เด้งบวกแรงมา 1435 จาก 970 จุดในเวลาไม่ถึง 3 เดือนนี่
มันโคตรลักลั่นย้อนแย้ง
ใครจะไปรู้ ปีที่ธุรกิจจะปิดตัวพร้อมกันมากที่สุดในปวศ. และจำนวนคนตกงานทั่วโลกพร้อมกันเป็นร้อยล้านคน
จะกลายเป็นปีที่ตลาดหุ้น "บวกสวน" แบบไม่นำพาได้ขนาดนี้
.
.
คำอธิบายอย่างง่ายที่สุด มันเป็นเรื่องสภาพคล่อง(Liquidity)
ลองนึกดูว่า ในทางทฤษฎีแล้ว
หากใครมีเงินสดมากๆ มากในระดับที่ล้นมือ เคาะขวาปัญญาเกิดได้เรื่อย ๆ
ต่อให้กระทำกับ หุ้นที่พื้นฐานห่วยที่สุด ใกล้จะล้มละลายอยู่รอมร่อ หุ้นตัวนั้นก็สามารถวิ่งแตะ ceiling ได้
มารอบนี้ คนที่มีเงินมีสภาพคล่องล้นมือมากๆ ต้นน้ำมาจากรัฐบาลทั่วโลก เริ่มจากมหาอำนาจ อเมริกา(FED) ยุโรป(ECB) ญี่ปุ่น (BOJ) ตามมาด้วยสารพัดประเทศที่พร้อมจัดงบประมาณ แล้วจงอัดฉีดเงินพร้อมกันทั่วโลก
คืออัดฉีดเต็มที่ เพื่อพยุงเศรษฐกิจหลังโควิด
แต่เงินช่วงแรก จะยังไม่ลงไปที่เศรษฐกิจภาคจริง หรือบางแห่งเงินอัดฉีดลงไป คนก็ไม่เอาไปใช้จ่ายให้เงินหมุน แต่เอาไปออม บางประเทศ คนออมลงใน "กองทุน"
สุดท้าย เงินที่อัดฉีด ไม่ลงไปใน "ตลาดสด" แต่ไปลงใน "ตลาดหุ้น"
.
.
ภาพคล้ายๆกันนี้ เคยเกิดกับ QE1,2,3 ช่วงปี 2009-2011ที่อเมริกามาแล้ว
และก็เป็นตลาดหุ้นอเมริกานี่แหละ ที่เล่นบวกนำ กระทั่งกลับไปเทรดที่สูงเท่ากับก่อนโควิดแล้ว (ตลาดหุ้นทั่วโลกกำลังทยอยตามมา)
อเมริกาเล่นทั้งที่ ยังติดโควิดเกือบ 2 ล้านคน ตายไปแสนกว่าคน ยังคุมโรคไม่ได้ดี
แถมมีประท้วงวุ่นวาย ไปหลายมลรัฐ
มองมุมนี้ หุ้นไทยจะขึ้นตามได้... ก็คงไม่แปลกอะไร
หรือจะลงมาใหม่ แบบต้นปี... ก็คงไม่แปลกอะไร
ไม่กล้าคาดเดาอะไรทั้งนั้นละจร้า