ปี 2563 ช่วงครึ่งปีแรก นับเป็นปีชงของตลาดหุ้นทั่วโลกอย่างแท้จริง โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยที่น่าจะ ”ชงตรง” โดนหนักเป็นพิเศษ เพราะครึ่งปีแรกนี้เราเจอวิกฤตหลากหลายเหลือเกิน
นอกจากวิกฤตเศรษฐกิจถดถอยจาก Trade War ต่อเนื่องมาจากปีที่แล้ว วิกฤต COVID-19 ก็ทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงักไปอย่างน้อยเป็นเวลาเดือนครึ่ง หลังวิกฤตก็คงต้องอาศัยระยะเวลาฟื้นฟู เครื่องจักรเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างส่งออก และการท่องเที่ยว คาดว่าจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก ถึงตรงนี้ก็ยังไม่สามารถประเมินผลกระทบหลัง COVID-19 ได้
วิกฤตซ้ำซ้อนอีกเรื่องที่ประเทศไทยกำลังประสบอยู่ตอนนี้ คือ วิกฤตภัยแล้ง เรากำลังอยู่ในหน้าแล้งที่หนักหนาสาหัสรุนแรงในรอบ 16 ปี ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน จากการตรวจสอบปริมาณน้ำใช้การได้จริงทั้งหมด 35 เขื่อนหลักในไทย ปริมาณน้ำยังคงลดลงต่อเนื่องทุกภาค
ล่าสุดต้นเดือนเมษายน ปริมาณน้ำใช้การได้จริงเหลือเพียง 10-20% ของความจุน้ำเก็บกักรวม ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ทางการเกษตรเสียหายมากกว่า 22 จังหวัด ผู้ได้รับผลกระทบหลักๆตอนนี้เลยคือ พี่น้องเกษตรกร ผู้ปลูกข้าว ปลูกพืชไร่และพืชสวน ซึ่งภาคเกษตรของประเทศไทย นอกจากจะเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ในประเทศแล้ว ยังหมายถึงกำลังซื้อหลักของพื้นที่ต่างจังหวัดด้วย
โจทย์ใหญ่ของปีนี้คือ เราต้องการให้มีปริมาณน้ำเพียงพอถึงวันที่ 30 มิถุนายนเพื่อให้ฤดูฝนที่รอคอยมานานเข้ามาประจำการเสียที แต่เราก็ต้องประเมินด้วยว่า หากปีนี้การเข้าสู่ฤดูฝนล่าช้ากว่าปีที่แล้วจะทำให้สถานการณ์ภัยแล้งทวีความรุนแรงจนอาจเกิดผลกระทบมากขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2 หากฤดูฝนมาช้ากว่าคาด ก็จะซ้ำเติมให้ GDP ประเทศไทยปรับตัวลงไปอีก ซึ่งเมื่อไปสนธิกำลังกับผลกระทบของ COVID-19 แน่นอนว่าจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ช่วงไตรมาส 2 ถึงไตรมาส 3 ไม่ใช่น้อย
หุ้นกลุ่มที่อาจจะได้รับผลกระทบจากภัยแล้งรุนแรง เนื่องจากกำลังซื้อที่ลดลงของภาคการเกษตรที่ติดหล่ม ได้แก่
กลุ่มค้าปลีก คาดว่าจะได้รับผลกระทบเชิงลบ ด้านกำลังซื้อที่ลดลง เนื่องจาก same store sales growth มีความสัมพันธ์กับรายได้ของเกษตรกร ซึ่งคาดว่าจะจำหน่ายสินค้าได้ลดลง การขยายสาขาอาจไม่เป็นไปตามแผน
กลุ่มสินเชื่อ คาดว่าจะได้รับผลกระทบเชิงลบ ด้านการขยายตัวของสินเชื่อภาคเกษตรที่แย่ลงและโอกาสหนี้เสียที่เพิ่มสูงขึ้น
กลุ่มยานยนต์ คาดว่าจะได้รับผลกระทบเชิงลบ ด้านกำลังซื้อที่ลดลงซึ่งกระทบต่อความต้องการซื้อรถยนต์ใหม่และเครื่องจักรทางการเกษตร
กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมและสาธารณูปโภค คาดว่าจะได้รับผลกระทบเชิงลบจากการมีต้นทุนน้ำดิบที่สูงขึ้นหากปัญหาภัยแล้งหนักขึ้น ถึงขั้นต้องซื้อน้ำดิบจากเอกชน หรือต้องปั้มน้ำดิบส่งจากอ่างเก็บน้ำที่อยู่คนละจังหวัดไกลๆ
กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม คาดว่าจะได้รับผลกระทบเชิงลบจากยอดขายที่ดินในครึ่งปีแรกที่น่าจะฝืดเคืองไม่น้อย อีกทั้งในปีนี้ ภาคอุตสาหกรรมคงจะเน้นการพัฒนาประสิทธิภาพโรงงานเดิม ในช่วงฟื้นฟูจาก COVID-19 ยังมิได้เน้นการขยายโรงงานใหม่มากนัก
กลุ่มโรงไฟฟ้าและปิโตรเคมี คาดว่าจะได้รับผลกระทบเชิงลบจากการมีต้นทุนบริหารจัดการน้ำซึ่งใช้ในกระบวนการผลิตที่สูงขึ้น
ปัจจัยภัยแล้งจึงเป็นตัวแปรสำคัญ ต่อผลประกอบการไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ของหุ้นไทยในหลากหลายกลุ่ม ซึ่งนักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิด