มีหลายคนถามผมว่า Covid คือ จุดเริ่มต้น หรือ Tipping Point ไปสู่ วิกฤตที่เลวร้ายกว่านี้ใช่หรือไม่ ?
"ใช่ครับ " ...บางธุรกิจ หรือ บางอาชีพ อาจถึงการล่มสลายเลยก็ได้ ...ทุกครั้งที่เราเผชิญวิกฤต มันจะเหมือน "สารเร่ง" ...เร่งให้อนาคตมาถึงเร็วขึ้น
อย่างในอดีต วิกฤตที่เลวร้ายสุดๆ เลย เช่น สงครามโลก ...มันทำให้ ธุรกิจ และ อาชีพ ล่มสลายจำนวนมาก ...แต่อีกมุม มันได้สร้าง นวัตกรรมใหม่ๆ ในเกือบทุกด้านเลยนะ ตั้งแต่ การสื่อสาร , การขนส่ง , การอุปโภค บริโภค , การใช้ชีวิต , อาชีพใหม่ๆ
ใช่ Covid อาจจะไม่ได้เลวร้ายเท่าสงครามโลก แต่มันก็เป็น "จุดเปลี่ยน" ครั้งนึงของโลกเราเหมือนกัน
ผมอ่านบทความค่อนข้างเยอะ ที่เขียนเกี่ยวกับผลกระทบ แล้วก็สิ่งที่จะเกิดขึ้น หลังจากนี้ ...ยิ่งอ่านก็รู้สึกว่า "ทุกคนเดากันไป เปะปะ คนละทิศ คนละทาง"
...เฮ้ย ยังไง มันต้องมีคนเดาถูกแน่นอน
แต่ปัญหา คือ "ข้อมูล แบบนี้ มันใช้ประโยชน์ไม่ได้ "
สมมุติอ่านไป 100 คน เราขอเลือก 1 คนนี้แหละ ดูมีเหตุผล น่าจะเป็นแบบนี้แหละ
...อ้าว แล้วถ้ามันผิดล่ะ
...ซึ่งโอกาสผิดมันก็ 99 ต่อ 1 อ่ะนะ ...แล้วจะทำยังไงต่อ
เอางี้ ...ผมว่า ทุกอาชีพ ต้องกลับมาทบทวนมากกว่า ว่า เราจะเอายังไงต่อ กับงาน สิ่งที่เราทำอยู่ ...เราควรจะวางแผนต่อไปยังไง
อย่างผม อยู่ในอาชีพ สายการลงทุนในหุ้น ...ผมเริ่มตั้งคำถามแล้วค่อยๆ ตอบทีละข้อ ...ซึ่งมันช่วยให้ผมรับมือกับวิกฤตครั้งนี้ได้ดีขึ้น ดังนี้
1. "หลัง Covid ตลาดหุ้นจะอยู่ต่อไปไหม "
...อันนี้เป็นคำถามแรก สำหรับอาชีพที่เราทำเลย ...ตอบเลย ตลาดหุ้นยังอยู่แน่นอน ..เพราะตลาดหุ้น คือ ที่รวมของบริษัทที่ใหญ่และแข็งแรงที่สุดในแต่ละประเทศ ...วิกฤต Covid ทำลายธุรกิจ ในวงกว้าง ตั้งแต่รากหญ้าขึ้นมาเลย ...แต่ถ้ามองดีๆ ผมว่า ธุรกิจชุมชน จริงๆ อยู่ได้นะ เพราะ วันนี้คนเห็นความสำคัญกับการบริโภคสิ่งที่ใกล้ตัวมากขึ้น ...รายใหญ่ก็น่าจะรอด เพราะ สายป่านยาว ...แต่ SME ขนาดกลาง น่าจะล้มหายตายจากไปเยอะที่สุด
2. "คนจะซื้อหุ้นมากขึ้น หรือ น้อยลง หลังจากนี้ "
...อันนี้คำถามเบสิคมากๆ ที่จะบอกว่า สิ่งที่เราทำ มันจะรุ่งหรือร่วง ...ถ้าต่อไปคนจะซื้อสิ่งนี้มากขึ้น ก็รุ่งแน่นอน ต้องลุยต่อ
ถามว่า หลังวิกฤตคนจะอยากซื้อหุ้นมากขึ้นไหม ?
...ตอบเลยว่า "มากขึ้น " เพราะ หลังวิกฤตแนวโน้มที่จะตามมาคือ เงินเฟ้อสูง แต่ดอกเบี้ยต่ำ ...ฝากธนาคารเฉยๆ ไม่ได้ เงินเฟ้อ และ ค่าครองชีพ มันทำลายมูลค่าเงิน ...คนก็จะต้องหาทาง ลงทุนให้เพิ่มมูลค่า ...หุ้นก็น่าจะเป็นหนึ่งในทางออก
อย่างหลักการที่ผมนำเสนอตลอดก็คือ "ออมในหุ้น " ผมว่า หลังจากนี้จะยิ่งฮิต
...เพราะ หนึ่ง หุ้นมันไม่แพง และ สอง ผลตอบแทนมันค่อนข้างสูง ( ยิ่งวิกฤต Yield ปันผล ยิ่งสูง ...มันเลยเป็นคำตอบ )
3. "ลงทุนแนวไหน น่าจะรุ่งที่สุดหลังวิกฤต "
...ถ้าเดาว่าตลาดหุ้นจะเป็นยังไงหลังจากนี้ ...ตอบได้เลยว่า ผันผวน ...ดังนั้น คนที่จะรอดในตลาดผันผวน คือ พวกที่ จิตนิ่ง ...จิตใจมั่นคง
คนที่จะไม่รอดคือ พวกเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ...เอ๊ะ!! เล่นยาวดีกว่า ...พอหุ้นลงแรง ...เอ๊ะ ขายไปก่อนดีกว่า ...พอหุ้นสะบัดกลับมา ...เฮ้ย!! หรือเล่นยาว แต่ราคามันขึ้นไปเยอะ เอาไงดีวะ ...เดี๋ยวตกรถ ซื้อก็ได้ "ตลาดปรับฐาน " ...เละ ครับ
ใครแนวทางไม่ชัด หลังจากนี้ คำเดียว "เละแน่นอน "
ดังนั้น จากนี้ไป "แนวทางต้องชัด " ...เล่น 2 แนวได้นะ แต่ต้องเปิด 2 พอร์ต (แยกกันชัดเจน)...พอร์ตนึงเอาไว้เก็งกำไร เล่นเอาส่วนต่างของราคา ใช้ Technical เป็นหลัก วาง Stop Loss ชัด ไม่ใช้อารมณ์ ใช้กราฟล้วนๆ
อีกพอร์ต "ออมหุ้น " ครับ ...อย่างแรกทำ Stock Wish List เลือกหุ้นที่คิดว่ารอดจากวิกฤต แต่ยังไม่ซื้อทันที ...จากนั้น รอว่า หุ้นที่เลือก ราคาลง ก็ทยอยจัด เก็บไปเรื่อยๆ
ใช่ ถ้าใครเปิดพอร์ตเดียวแล้ว คิดว่าจะ เล่นทั้งสั้น และ ยาว ...พังแน่นอน ...มันจะเริ่ม งง แล้ว สุดท้ายจะมั่ว ....ต้องแยกให้ชัดเจนครับ "วิกฤตครั้งนี้ คนรอด ต้องชัดเจน!! "
สรุป หลัง Covid จะเป็นวิกฤตของหุ้นหลายๆ ตัว อาจถึงขั้นเจ๊ง ...แต่บางตัวจะเป็น Tipping Point สู่โอกาสครั้งใหม่ครับ
ครั้งก่อน หลังปิดสนามบิน เราเจอหุ้น 50 เด้ง ในสิบปี อย่างหุ้น AOT ...หลังจากวิกฤตหนี้ เราเจอหุ้น 60 เด้ง อย่าง KTC ในสิบปี
ครั้งนี้ ...มันก็ต้องมีหุ้นหลายสิบเด้ง หลังจากนี้ ...เพียงแต่มันจะไม่ใช่ตัวเดิมไง !!