เริ่มจากการปิดโรงหนัง ร้านนวด แล้วก็เริ่มมาปิดห้างสรรพสินค้าบางส่วน (ยกเว้น Supermarket ร้านขายยา ร้านอาหารเปิดเฉพาะซื้อกลับบ้าน) ล่าสุดปิดถึง 30 เมษายน แล้ว
หุ้นที่ได้รับผลกระทบหลักๆ มีอยู่ 4 กลุ่ม ด้วยกัน คือ
- เจ้าของห้างที่ปล่อยเช่าพื้นที่
เป็นหุ้นที่น่าจะเจ็บหนักไม่ใช่น้อย และอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะจำเป็นต้องลดหรืองดค่าเช่าในช่วงนี้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือร้านค้าที่ไม่สามารถขายของได้ เช่น CPN, SF, PLAT, MBK, BKER
- ห้างขายสินค้า
เวลาพูดถึงห้าง เราอาจจะคิดถึงแต่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เดอะมอลล์ โรบินสัน แต่จริงๆ มันยังครอบคลุมมากกว่านั้น ทั้งขายวัสดุก่อสร้างและเฟอร์นิเจอร์ ทำให้หุ้นที่ได้รับผลกระทบได้แก่ HMPRO, GLOBAL, DOHOME, ILM, CRC
- ร้านอาหาร
ยอดขายหายวับไปกับตากับจากลูกค้านั่งทานที่ร้าน ทำให้ต้องปรับกลยุทธ์มาเป็น delivery กันยกใหญ่ แต่ก็จะลำบากกับร้านที่เป็นปิ้งย่าง ชาบู หรือบุฟเฟต์ไม่น้อย ร้านที่กระทบคือ CENTEL, MINT, M, AU, SNP, JCKH
- ร้านค้าที่ขายของในห้าง
นอกจากร้านอาหารแล้ว ร้านค้าที่ขายของทั่วไปในห้าง ไม่ว่าจะขายเสื้อผ้า ขายหนังสือ ขายสินค้าไอที ขายเพชร หรือแม้แต่โรงหนังต่างได้รับผลกระทบกันหมด เช่น COM7, SPVI, CPW, SABINA, MC, JUBILE, PDJ, SE-ED, COL, BIG, MAJOR
แน่นอนว่า ในระยะสั้น รายได้หาย ค่าใช้จ่ายพอลดได้ กำไรหดแน่นอน ราคาหุ้นก็ร่วงลงมาเยอะตามคาด แล้วเราควรลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้หรือเปล่า คำถามที่เราควรคิดคือ
ปิดห้างอีกนานแค่ไหน
จากตอนแรกปิดบางที่ถึงสิ้นเดือนมีนาคม ขยับมาเป็น 12 เมษายน และตอนนี้ 30 เมษายน คำถามคือ ประมาณ 1 เดือน ต่อจากนี้ สถานการณ์จะดีขึ้นขนาดที่จะกลับมาเปิดกิจการได้หรือเปล่า ถ้าสมมติว่ายังมีผู้ติดเชื้ออยู่ ถึงแม้ว่าจะลดลงแล้วก็ตาม เราพร้อมจะเปิดห้างหรือเปล่า คือ อยากให้ลองเผื่อใจถึงผลกระทบต่องบกำไรขาดทุนที่อาจจะมากขึ้นได้ถ้าเหตุการณ์ยืดเยื้อมากกว่าที่คาดไว้
รอดหรือเปล่า
เอาแค่ระยะสั้นก่อน ถ้าต้องหยุดขายของไป 3 เดือน 6 เดือน สภาพคล่องของบริษัทไหวไหม เงินสดของกิจการมีมากแค่ไหน พอจ่ายค่าจ้างพนักงาน ค่าดอกเบี้ยมั้ย เพราะถ้ากิจการไหนหนี้สูงๆ หรือกระแสเงินสดไม่ดี ต้องหมุนเงินตลอด อาจไม่รอดถ้าขาดรายได้หลายๆ เดือน
ซื้อสินค้าจำเป็น ลดการฟุ่มเฟือย
ข้าวสาร อาหารแห้ง ไข่ไก่ น้ำดื่ม คือ สินค้าจำเป็นที่หลายคนซื้อติดบ้านไว้ เพราะกลัวว่าเหตุการณ์จะลุกลาม ออกนอกบ้านไม่ได้ ทำให้ลดการซื้อสินค้าอื่นๆ ที่ยังไม่จำเป็นลง เช่น เสื้อผ้า เครื่องประดับ อุปกรณ์ไอที ก็ทำให้ยอดขายลดลงไปอีก แต่ก็น่าติดตามว่าถ้าสถานการณ์ดีขึ้นแล้ว ยอดขายสินค้าแฟชั่นหรือฟุ่มเฟือยที่อั้นไว้จะกลับมาเพิ่มมากกว่าเดิมหรือเปล่า
กลับมาไม่เหมือนเดิม
พฤติกรรมผู้บริโภคกำลังเริ่มเปลี่ยนไวขึ้นด้วยการปรับตัวทั้งสั่งอาหารผ่าน App สั่งซื้อของออนไลน์ ประชุมหรือเรียนออนไลน์ ดูหนังฟังเพลงเยอะขึ้น ทำให้พอสถานการณ์จบเป็นเรื่องน่าคิดว่า การกินอาหารนอกบ้าน การเดินซื้อของตามร้าน ไปโรงหนัง อะไรต่างๆ แบบนี้จะโดน Disrupt มากน้อยแค่ไหน หรือแม้แต่ห้างที่เก็บค่าเช่าพื้นที่จะสามารถขึ้นราคาได้แค่ไหนภายหลังวิกฤต
ราคาลงมาถูกหรือยัง
สิ่งสำคัญประกอบการตัดสินใจคือ เรื่องราคาหุ้นว่าถูกหรือยัง ในที่นี้อาจไม่ใช่แค่ราคาที่ลงมาเยอะ แต่เราต้องพิจารณาด้วยว่า กำไรที่ลดลง หุ้นที่ P/E เหมือนจะถูกในวันนี้ ก็จะมี P/E ที่สูงขึ้นได้ในอนาคต และยิ่งน่ากังวลสำหรับหุ้นที่ปรับตัวไม่ได้ ก็ไม่สามารถสร้างฐานกำไรให้กลับมาโตได้
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าหุ้นอะไรที่ราคาลงเยอะก็ซื้อได้ แต่เราควรมองว่า หุ้นตัวไหนที่แข็งแกร่ง หนี้น้อย มีเงินสดเลี้ยงตัวเองได้ ปรับตัวได้ไว ไม่ถูก disrupt และที่สำคัญราคาเหมาะสมคุ้มค่าแก่การลงทุน