เป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการที่นักท่องเที่ยวลดลง ใน 1 ปี มีผู้มาใช้บริการ SPA 1.3 ล้านคน 75% ของรายได้มาจากชาวต่างชาติ และ 25% มาจากคนไทย ถ้าแยกย่อยลงมาให้เห็นภาพ

- 55% มาจากคนจีน ไต้หวัน ฮ่องกง
- 10% คนเกาหลี ญี่ปุ่น
- 5% ฝรั่งจากฝั่งตะวันตก
- 3% อาเซียน
- 2% ตะวันออกกลาง
- ที่เหลือ 25% เป็นคนไทย

คนจีนมาเที่ยวไทยปีละประมาณ 11 ล้านคน 60% มาเอง 40% มากับทัวร์

ร้านนวดหลายที่ปิดตัวไปเพราะกรุ๊ปทัวร์ไม่มา แต่ของ SPA ส่วนมากมาจาก FIT

คนจีนที่มานวดที่ SPA ประมาณ 6-7 แสนคน ก็คิดเป็นประมาณ 10% ของ FIT

ข่าวดี คือ ที่จีน การควบคุมเริ่มดีขึ้นมาก
แต่ข่าวที่อาจจะไม่ดีคือ ถ้าประเทศไทยเริ่มติดเชื้อมากขึ้น เค้าก็อาจจะไม่กล้าเดินทางเข้ามา

===================

2 เดือนแรก ของปีนี้ ที่นักท่องเที่ยวหายไป

- SSSG ติดลบเป็นเลขตัวเดียว
- ไม่ได้ Lay Off พนักงาน แต่จะปิดเร็วขึ้น
- ไปคุยขอลดค่าเช่า ส่วนใหญ่ให้ลด 50% (ทำให้แอบคิดว่าบริษัทในตลาดที่มีรายได้จากค่าเช่าน่าจะกระทบกันพอสมควร)
- งบลงทุน 250 ล้านบาท รวม M&A ด้วย เน้นธุรกิจ wellness ก็อาจเป็นโอกาสที่ดีในการซื้อกิจการอื่นที่ไปไม่ไหวในช่วงนี้

รายได้ของ SPA 100 บาท
เป็นต้นทุนขาย 68 บาท มีค่าพนักงานนวด ค่าอุปกรณ์ น้ำมัน ค่าเสื่อม
เป็น SG&A 11 บาท
ดอกเบี้ย ภาษี 4 บาท
กำไร 17 บาท

แปลว่า ต้นทุนหลักๆ ก็ดูจะเป็น fix cost เยอะพอสมควร โดยเฉพาะค่าพนักงานที่นวด และค่าเช่า ค่าเสื่อมต่างๆ และ มาตรฐานบัญชีใหม่จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกปีละ 20 ล้านบาท การที่นักท่องเที่ยวลดลง แต่ค่าใช้จ่ายยังมีอยู่ เลยทำให้กำไรลดลงได้มากกว่า ราคาเลยลงมาค่อนข้างแรง

แต่อย่างที่คุณวิบูลย์บอกว่า

"วิกฤตทุกครั้ง มีโอกาสใหม่ๆ กลับมาเสมอ และหลังวิกฤตที่ผ่านมา SPA มักกลับมาได้เร็ว"

ก็ต้องลองติดตามกันดูครับว่า SPA จะหาโอกาสในวิกฤตรอบนี้อย่างไรได้บ้าง แล้วราคาตรงนี้ที่ P/E ไม่ถึง 20 เท่า น่าสนใจหรือยัง ลองพิจารณากันดูครับ

#SPA #วิตามินหุ้น