#มือใหม่เริ่มลงทุน

ย้อนรอยวิกฤติการณ์ตลาดหุ้น

โดย ชาคริต เยา
เผยแพร่:
370 views

บทความในครั้งนี้ออกจะเป็นบทความที่ผมเขียนออกมาอย่างฉุกละหุกไปเสียหน่อย เดิมทีผมตั้งใจจะเขียนเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเทรดอัตโนมัติ 

แต่ช่วงหลังตลาดหุ้นทั่วโลกต่างพากันปรับตัวลดลงหลายสิบเปอร์เซ็นต์กันถ้วนหน้า รวมไปถึงสินทรัพย์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ทองคำ หรือตลาดคริปโตก็พาเหรดกันดำดิ่งสู่ความมืดมิด ผมจึงขออนุญาตผู้อ่านทุกท่าน ลัดคิวมารีวิววิกฤติการณ์ทางการเงินที่เคยเกิดขึ้นมาในช่วง 50 ปีที่ผ่านมาครับ
 
นักลงทุนสาย Technical มักจะมีคำพูดติดปากว่า History repeats itself เพราะฉะนั้นการดูตลาดหุ้นในช่วงวิกฤติในอดีตอาจจะพอให้เราได้คำตอบสำหรับสถานการณ์ในปัจจุบันได้ครับ
 
วิกฤติน้ำมัน 1973-1975
 

 

สาเหตุ: การเมืองระหว่างประเทศ
Max Drawdown: 46%
ระยะเวลา: 19 เดือน
 
หลังจากสงครามในตะวันออกกลาง กลุ่มประเทศ OPEC ได้รวมกันงดส่งออกน้ำมันให้แก่ชาติที่สนับสนุนอิสราเอลในสงคราม ส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นถึง 400% ในปี 1974
 
 
ทศวรรษที่สูญหายของญี่ปุ่น 1990-2013
 
 
สาเหตุ: ฟองสูบ่การเก็งกำไร
Max Drawdown: 82%
ระยะเวลา: 23 ปี
 
ประเทศญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่สองได้เติบโตทางเศรษฐกิจอย่างสูง ในช่วงทศวรรษ 1980 ค่าเงินเยนได้แข็งค่าขึ้นอย่างมาก รวมไปถึงนโยบายการให้กู้ยืมที่หละหลวม เป็นตัวจุดชนวนการเข้าเก็งกำไรสินทรัพย์ต่างๆ โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้น เมื่อธนาคารกลางของญี่ปุ่นออกมาประกาศเพิ่มดอกเบี้ย ฟองสบู่จึงแตกทันที
 
ฟองสบู่ดอทคอม
 
 
สาเหตุ: การเก็งกำไรในหุ้นดอทคอม
Max Drawdown: 52%
ระยะเวลา: 12 เดือน
 
กระแสการมาของหุ้นดอทคอมได้ก่อให้เกิดความบ้าคลั่งในกลุ่มนักลงทุนขึ้นมา แม้แต่บริษัทที่ไม่มีผลิตภัณฑ์เป็นชิ้นเป็นอัน แต่หากแปะคำว่าดอทคอมเข้าไป ก็สามารถเรียกเงินจากนักลงทุนได้อย่างมหาศาล และสุดท้ายปาร์ตี้ก็ต้องมีวันเลิกรา เมื่อหลายๆ คนตระหนักได้ว่าหุ้นที่ตัวเองถืออยู่นั้นไม่ได้มีค่าอะไรเลย
 
วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ 2008
 

 

สาเหตุ: การผ่อนปรนให้ปล่อยกู้บ้านแก่คนที่เครดิตน้อย และการสร้างผลิตภัณฑ์อนุพันธ์ชนิดใหม่
Max Drawdown: 58%
ระยะเวลา: 23 เดือน
 
วิกฤติการณ์ทางการเงินที่น่าจะยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของหลายๆ คน เมื่อรัฐบาลประกาศสนับสนุนให้ทุกคนมีบ้านด้วยการปล่อยเงินกู้ให้กับคนที่ปกติไม่สามารถกู้ซื้อบ้านได้ และการสร้างผลิตภัณฑ์ทางเงินใหม่อย่าง Mortgage-backed Securities ซึ่งถูกซื้อขายอย่างกว้างขวางโดยที่ไม่มีใครรู้ถึงความเสี่ยงที่แท้จริงของมัน เมื่อฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์แตก หนี้เสียจึงเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากอย่างรวดเร็วอย่างที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน นำไปสู่การล่มสบายของบริษัททางการเงินระดับโลกหลายๆ แห่ง
 
วิกฤติตลาดหุ้นจีนปี 2015-2016
 
 
สาเหตุ: ฟองสบู่ตลาดหุ้น
Max Drawdown: 49%
ระยะเวลา: 11 เดือน
 
ในช่วงก่อนเกิดวิกฤติการณ์ รัฐบาลจีนได้สนับสนุนให้ประชาชนเข้าลงทุนในตลาดหุ้น ส่งผลให้ตลาดหุ้นคราคร่ำไปด้วยเหล่านักลงทุนรายย่อยซึ่งไร้ประสบการณ์และความรู้ด้านการลงทุน นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากไม่จบการศึกษาระดับมัธยมปลายเสียด้วยซ้ำ ทำให้นักลงทุนเหล่านี้ถูกชักจูงจากการปล่อยข่าวและปั่นราคาหุ้นได้อย่างง่ายดาย
 
นอกจากนี้ยังมีวิกฤติทางการเงินอื่นๆ ที่ไม่ได้กล่าวถึงในที่นี้ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติต้มยำกุ้งของประเทศไทยที่ดัชนี SET ปรับตัวลดลงจาก 1700 จุดเหลือเพียง 200 จุด หรือการถล่มของค่าเงินคริปโตจากระดับ $20,000 เหลือเพียงราวๆ $4,000 ก็ตาม
 
อย่างไรก็ดี หากคำนึงถึงเฉพาะวิกฤติการณ์ที่ได้กล่าวถึงในบทความนี้ เราพอจะสรุปได้ว่าวิกฤติส่วนใหญ่มักจะส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงโดยเฉลี่ย 57% และกินระยะเวลาโดยเฉลี่ยราวๆ 16 เดือน (ไม่นับรวมวิกฤติของญี่ปุ่นซึ่งกินระยะเวลานานนับทศวรรษ)
 
หวังว่าบทความในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ให้ผู้อ่านทุกท่านผ่าฟันวิกฤติการณ์โควิดไปได้ในครั้งนี้นะครับ และถ้าท่านใดสนใจที่จะติดอาวุธในการลงทุนเพิ่มเติม ด้วยการใช้ AI มาวิเคราะห์หลักทรัพย์แทน ก็สามารถติดตามรอสมัครคอร์ส Basic Python for Trading ครั้งต่อไปได้นะครับ
 
ข้อมูลประกอบโดย ภูริภัสร์ พวงกิจจา

  • ผู้ร่วมก่อตั้ง และ CTO บริษัท DeeperTrade Co.,Ltd
  • ปริญญาโท Science in Computer Science จาก University of Southern California.
  • หลักสูตร Financial Engineering and Risk Management จาก Columbia University.
  • อดีต Data Scientist ที่บริษัท KBTG

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง