ตลาดหุ้นปีนี้ช่างโหดร้ายยิ่งนัก ผ่านไป 2 เดือน SET ลงไปแล้ว 15% มากกว่า 200 จุด
นักลงทุนหลายคนกำลังตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรดี
คนที่ติดดอย ไม่กล้าคัท เพราะแต่ละตัวลงหนักเหลือเกิน กลัวคัทแล้วเด้ง
คนที่ถือเงินสด ไม่กล้าซื้อ เพราะกลัวช้อนจะหัก ถูกแล้วยังมีถูกกว่า
ในสถานการณ์แบบนี้ เราควรทำอย่างไรดี เพื่อที่ว่าจะได้ไม่ต้องบอกตัวเองว่า “รู้งี้” ทีหลัง
1. สถานการณ์ “ชั่วคราว” หรือ “ยาวนาน”
COVID-19 ดูจะเป็นต้นเรื่องของหุ้นตกไปทั่วโลก ซึ่งเอาจริงๆ เราก็ไม่รู้ว่ามันจะยืดเยื้อแค่ไหน แต่เราอาจจะลองประเมินได้แบบนี้ แล้วปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
• การระบาดขยายวงกว้างไปหลายประเทศ หลายทวีป ผู้ติดเชื้อเยอะขึ้น มีผู้เสียชีวิตบ้าง และผู้รักษาหายก็เยอะ
• ที่เมืองจีนต้นตอของเรื่องราว สถานการณ์ดูดีขึ้น ผู้คนเริ่มออกมาจากบ้าน ร้านอาหารขายดีขึ้น แต่ก็ยังมีการป้องกันอยู่อย่างระมัดระวัง
• เริ่มมีการทดลองวัคซีนต้านเชื้อไวรัส ถ้าทำได้ทุกอย่างจะจบ แต่กว่าจะรู้ผลจนออกมาใช้ได้ คาดว่าจะเป็นปี
• ถ้าให้เดา สถานการณ์อาจจะยืดเยื้ออีกซักระยะ คือ เป็นไปได้ว่า หลายประเทศจะมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น อาจจะเริ่มพีค แล้วเวลาผ่านไป อาจจะหลักเดือน เหตุการณ์ก็จะนิ่ง บวกกับความคืบหน้าเรื่องวัคซีน โลกก็น่าจะเริ่มกลับเข้าสู่ความสงบเมื่อนั้น
• แต่ก็ต้องอย่าลืมเผื่อใจให้กับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ถ้ามีกรณีเลวร้ายเกิดขึ้น เช่น มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น คนที่หายแล้วกลับมาเป็นอีก
2. หุ้น “ลงต่อ” หรือ “พอได้แล้ว”
ไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่า SET จะลงไปถึงเท่าไหร่ หรือจะเด้งกลับขึ้นมาทันที เพราะต้องว่ากันไปตามสถานการณ์ แต่ที่เห็นแน่ๆ คือ ผู้คนเริ่มกลัวกันมากขึ้น มีความกังวลว่าสถานการณ์จะแย่ลง หน้ากากอนามัยขาดแคลน หุ้นลงหนักมีทั้งคนที่ล็อคกำไร คนที่กลัวตลาดแย่ขายลงมา และบางคนก็โดน force sell คือ ตลาดค่อนข้างหวั่นไหว โอกาสที่จะลงมากกว่าขึ้นถ้ามีข่าวไม่ดีมากระทบ
3. ปรับพอร์ต หรือ ทนถือ
ถึงเวลาที่เราต้องประเมินหุ้นที่ตัวเองมีว่าจะเอายังไงดี ซึ่งแยกได้ 4 กรณี
• หุ้นที่เกี่ยวข้องโดยตรง ถ้าเราติดตามสถานการณ์และเชื่อว่ามันยังไม่ดีขึ้น ตลาดดูหวั่นไหว หุ้นที่เรามีโดนเต็มๆ อาจจะขายออก 50-70% เพราะเราทำใจคัทหมดไม่ได้ กลัวเด้งกลับ เดี๋ยวตกรถ ก็ติดพอร์ตไว้ 30-50% แล้วพอสถานการณ์ดีขึ้น ค่อยซื้อคืนเหมือนเป็นการทำ short against port ไปในตัว
• หุ้นที่เกี่ยวข้องบ้าง ก็โดนหางเลขไปด้วย แต่อาจจะลงไม่เยอะเท่ากลุ่มแรก เช่น ขาดแคลนวัตถุดิบ ส่งสินค้าเข้าจีนไม่ได้ แบบนี้ พิจารณาขายออกมาบางส่วน 20-30% เพราะว่ายังไงมันก็ลงตามตลาด แต่ให้ติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด ถ้าเริ่มกลับมาดีเมื่อไหร่ก็เป็นโอกาสซื้อเพิ่ม
• หุ้นที่ไม่ค่อยเกี่ยวข้องเท่าไหร่ ไม่รู้จะลงมาทำไม แต่พอคนกลัว ก็ขายกันหมด ถ้าแบบนี้ เราอาจจะไม่ต้องขายก็ได้ เพราะเชื่อว่าสุดท้าย ราคาหุ้นจะกลับมาตามพื้นฐานเอง บางครั้งเป็นโอกาสด้วยซ้ำที่หุ้นพื้นฐานดีหลายตัวราคาลงมาเยอะถึงจุดที่น่าลงทุน เราก็รอจังหวะนั้นเก็บเข้าพอร์ต
• เงินสดเต็มมือ นี่มันสวรรค์ของคนมีเงินชัดๆ โอกาสแบบนี้มาไม่บ่อย หาหุ้นดีๆ ซื้อเข้าพอร์ตเลยครับ แต่แนะนำให้แบ่งไม้ 3-4 ไม้ซื้อหุ้นที่เราสนใจ เพราะเราไม่รู้จริงๆ ว่าสถานการณ์จะดีขึ้นหรือแย่ลง การแบ่งไม้ช่วยเราได้ เพราะจะช่วยบริหารต้นทุนให้เหมาะสม
ถ้าประวัติศาสตร์ต้องซ้ำรอย และเราเชื่อในความสามารถของมนุษย์ในการคิดค้นวิธีการรักษาได้
วันนี้ที่ฟ้ามืดมัว เราต้องกล้าที่จะลงทุน ด้วยการวางแผนอย่างรอบคอบ
และวันข้างหน้า เมื่อเหตุการณ์นี้สงบลง ฟ้าหลังฝนมักจะสดใสเสมอ
และพอร์ตเราจะกลายเป็นสีเขียว