หลายคนอยากรู้ว่างบจะออกมาหน้าตาอย่างไรหลังจากเปิดตึกใหม่ เพราะราคาหุ้นไหลลงมาตลอดหลังจากวิ่งไปทำจุดสูงสุดที่ 8.35 บาท ล่าสุดเหลือ 5.50 บาท (แต่ COVID-19 ก็คงกระทบด้วยเพราะคนจีนเป็นสัดส่วนหลัก 90% ที่มาทำ IVF)
ถ้าดูงบปี รายได้ +39% กำไรสุทธิ +37%
เทียบกับ P/E 20 เท่า และปันผลที่เพิ่งประกาศ 0.21 บาท คิดเป็น 3.8% ดูแล้วถือว่าดีเลยทีเดียว
แต่ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ครับ
Q1’62 รายได้ +44% กำไรสุทธิ +103%
Q2’62 รายได้ +50% กำไรสุทธิ +72%
Q3’62 รายได้ +32% กำไรสุทธิ +5.4%
Q4’62 รายได้ +33% กำไรสุทธิ +6.7%
ครึ่งปีหลัง การเติบโตเริ่มชะลอลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะกำไร สาเหตุก็เป็นเพราะว่า
1) ค่าเสื่อมของตึกใหม่ และ IVF พระราม 9 เข้ามากดดันต้นทุนให้บวมขึ้น และเข้าใจว่า Q4 เตียงไม่เต็ม
2) ค่าใช้จ่ายส่งเสริมการขาย (มี one time ตอน Q3) ก็บวมขึ้นมา
3) ในส่วนของรายได้ที่ถือ EKI ก็ลดสัดส่วนลงมาเหลือ 67% ขณะที่มีหลายโรงพยาบาลเปิด IVF มากขึ้น
ถ้ามองดูแนวโน้ม Q1’63
- เราเห็นการเจ็บป่วยของเด็กๆ เพิ่มขึ้น มีไข้หวัดใหญ่เข้ามา แล้วก็เรื่องฝุ่น ก็อาจทำให้มาหาหมอเพิ่ม ต้องดูว่าห้องเต็มมั้ย
- แต่คนต่างชาติ โดยเฉพาะคนจีนน่าจะมาน้อยลง จากเรื่อง COVID-19 และเราเห็น EKH ออกโปรโมชั่นลดราคาทำ IVF ให้คนไทย ราคาถูกมาก ก็อาจเป็นไปได้ว่าเกี่ยวข้องกัน ต้องดูว่าชดเชยกันได้มั้ย
โดยสรุป กำไรโตเลขหลักเดียวมา 2 ไตรมาสแล้ว จากรายได้โตไม่ทันค่าเสื่อมและค่าใช้จ่าย แต่ราคาหุ้นก็ต่ำกว่าอุตสาหกรรมและปันผลดูดี ขณะเดียวกัน IVF ก็ยังเป็นเทรนด์ที่ดี แม้ว่าคู่แข่งเยอะ และคนจีนช่วงนี้มาน้อย
นักลงทุนอย่างเราๆ ต้องลองพิจารณากันครับว่า เกมส์ของเรามองยังไง และ EKH ตอบโจทย์เราหรือเปล่า